2551-06-10

แปลกแต่จริง



ชายอุ้มท้องแทนเมียเตรียมคลอดลูกอีก 4สัปดาห์ข้างหน้า

โดย คม ชัด ลึก
วัน จันทร์ ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2551 11:13 น.


ตะลึง ! หญิงแปลงเพศชาวมะกัน อุ้มท้องแทนเมีย เตรียมคลอดลูกสาว
ออกมาดูโลกในอีก4 สัปดาห์นี้ เจ้าตัวสุดตื้นตัน หลังอัลตราซาวนด์ครั้งแรก
ขอเล่าเรื่องราวให้ลูกฟังทั้งหมดเอง เผยวางแผนมีลูกเพิ่มอีกในอนาคต
ขณะที่นักจิตวิทยา-นักวิชาการไทยไม่ห่วง ชี้เป็นเพศไหนก็ได้ หากดูแลลูกได้



ถือเป็นรายแรกของโลกก็ว่าได้ เมื่อผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นชายตั้งท้องเตรียมคลอดลูกสาว
ในไม่กี่วันข้างหน้านี้ หนังสือพิมพ์นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์ของอังกฤษ
รายงานเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ว่าเกิดเรื่องพิสดารขึ้น เมื่อผู้หญิงแปลงเพศชื่อ "โทมัส บีตตี้"
ซึ่งอุ้มท้องแทน"นางแนนซี" ผู้เป็นภรรยาและกำลังมีครรภ์แก่ใกล้คลอดในอีก 4 สัปดาห์
ภาพ : ประกอบจากอินเทอร์เน็ตไม่เกี่ยวกับข่าวชายอุ้มท้องแทนเมียเตรียมคลอดลูกอีก 4สัปดาห์ข้างหน้า

จนอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ชายคนแรกของโลกที่อุ้มท้อง และคลอดลูกด้วยตนเอง
เพราะถ้ามองจากภายนอกแล้วนายโทมัสผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับผู้ชายทั่วไปไม่มีผิดเพี้ยน
เพราะมีทั้งหนวดและเคราครึ้ม รวมถึงกล้ามเนื้อ และรูปร่างกำยำล่ำสัน ไม่ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ

ตะลึงหนุ่มแปลงเพศตั้งท้อง

นายโทมัส ปัจจุบันอายุ 34 ปีแล้ว ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ "นิวส์ ออฟ เดอะ เวิลด์"
ถึงการได้อุ้มท้อง ลูกว่ารู้สึกยอดเยี่ยมมาก
ตนและภรรยาแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะได้เห็นหน้า และอุ้มลูกสาวโดยพูดคุย
ถึงเรื่องนี้กันอยู่ทุกวัน ตอนนี้เตรียมทุกอย่างสำหรับลูกไว้พร้อมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเนิร์สเซอร
ี ผ้าอ้อม ห้องนอน รวมถึงชื่อก็ตั้งเอาไว้แล้วเช่นกัน แต่ยังอุบเงียบเอาไว้ก่อน
ที่สำคัญทั้งคู่ยังได้วางแผนเอาไว้ว่าจะมีลูกกันอีก ภายหลังจากที่คลอดลูกคนนี้แล้ว
แต่จะรอดูประสบการณ์ก่อนว่าการมีลูกคนแรกเป็นอย่างไ รแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ใหม่อีกหน

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวัยเด็ก นายโทมัส ซึ่งมีชื่อว่า "เทรซี ลากอนดิโน"
เป็นเด็กสาวที่สวยมาก และมีตำแหน่งเป็นถึงนางงามวัยรุ่นของฮาวายเลยทีเดียว
เขาตัดสินใจแปลงเพศเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยตัดเต้านมทิ้ง แต่ยังคงเก็บมดลูกและรังไข่เอาไว้
ทำให้สามารถตั้งท้องแทนภรรยาได้ เพราะนางแนนซี วัย 45 ปี มีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง
เมื่อถึงเวลาที่จะมีลูก โทมัสได้หยุดกินฮอร์โมนเพศชายที่เริ่มกินมาตลอด
หลังจากแปลงเพศ เพื่อรังไข่จะสามารถผลิตไข่ได้อีกครั้ง

นายโทมัสเคยตั้งท้องลูกแฝดมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่ง โดยครั้งนั้นใช้สเปิร์มที่มีผู้บริจาคให้
แก่ธนาคารสเปิร์ม ด้วยการที่แนนซีเป็นคนผสมเทียมให้แก่ผู้เป็นสามี
โดยใช้กระบอกฉีดยาพิเศษที่ขอมาจากสัตวแพทย์ที่คอยรักษานกที่เลี้ยงเอาไว้ในบ้านมาฉีด
น้ำเชื้อเข้าไป ในร่างกายของโทมัส เพราะคลินิกไม่ยอมผสมเทียมให้ทั้งคู่
เพราะมองว่าเป็นกรณีที่ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป แต่โชคร้ายที่โทมัสตั้งครรภ์ในตำแหน่งที่
ี่ผิดปกติทำให้แท้ง แต่ความพยายามครั้งที่สองของพวกเขาสำเร็จ
และลูกก็จะลืมตาออกมาดูโลกด้วยการผ่าท้องโดย นพ.คิมเบอร์ลี เจมส์ ในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้

น่าสนใจว่า เรื่องที่นายโทมัสตั้งท้องแทนภรรยา ซึ่งมีปัญหาไม่สามารถอุ้มท้องเองได้นั้น
เคยกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งไปทั่วโลกก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งในเรื่องของศีลธรรม
และในเรื่องของสุขภาพของเด็กที่จะตามมา แต่ภายหลังจากที่เวลาผ่านมาจนนายโทมัส
มีอายุครรภ์แก่ถึง 8 เดือนแล้วนั้นเจ้าตัวก็อธิบายว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปอย่างยอดเยี่ยมมาก
ตัวเองโชคดี เพราะไม่เคยเกิดอาการไม่สบายเนื้อสบายตัวหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยตามมาจาก
การตั้งครรภ์เลย นายโทมัสกล่าวว่า หลังรู้ว่าตั้งท้องก็เข้าไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็พบว่า
ผู้หญิงส่วนใหญ่จะปวดหลังเวลาอุ้มท้อง แต่สำหรับตัวเองแล้วกลับไม่เคยมีปัญหานี้เลย

"ตอนที่แนนซีกับผมเห็นภาพสแกนของลูกครั้งแรกๆนั้น ช่างเป็นประสบการณ์ที่เต็มตื้นอย่างมากจนเราไม่แคร์ว่าใครจะพูดถึงเราอย่างไรบ้าง
การได้เห็นหน้า ริมฝีปาก และร่างกายของลูกทำให้การปฏิบัติที่ไม่ดีทั้งหมดทั้งมวลที่พวกเรา
เคยได้รับมากลายเป็นเรื่องที่ไม่มีคุณค่าอะไรเลย
นายโทมัส ซึ่งจะกลายเป็นบุรุษเพศคนแรกของโลกที่ตั้งครรภ์ด้วยตนเอง
กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนจะตบท้ายว่า "เราตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่ว่าเราจะมีลูกด้วยกัน
รวมถึงเรื่องที่ผมไม่ได้ตัดอวัยวะในการตั้งครรภ์ทิ้ง ความต้องการมีลูกนั้นไม่ใช่แค่ความต้องการ
ของผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เป็นความต้องการของมนุษย์"

นายโทมัสยังกล่าวด้วยว่า เมื่อลูกโตขึ้นจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลูกฟังด้วยตัวเอง
พร้อมย้ำว่า ลูกเกิดมาจากความรักอันมากล้นของพ่อแม่ และกว่าที่ลูกจะมายืนอยู่ตรงนี้ได
้ต้องเอาชนะความประหลาดมากมาย ทั้งอุปสรรคทางร่างกาย อุปสรรคทางสังคม และทุกๆ อย่าง
จนกว่าจะมาถึงจุดนี้

นักจิตวิทยาเชื่อไร้ปัญหาหากดูแลได้

เรื่องนี้ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ให้ความเห็นว่า เรื่องบทบาทพ่อแม่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของเด็ก
เด็ก
ที่เกิดมาไม่มีพ่อแม่ เช่น เด็กที่ถูกทอดทิ้งตามสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า
แล้วมีผู้มารับไปเลี้ยงดู หรือที่เรียกว่า เป็นพ่อแม่ทดแทน
หากสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเพศไหน
ก็ทำให้เด็กเจริญเติบโตในพัฒนาการปกติได้

นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีเรื่องของการอุ้มบุญ
ซึ่งน่าจะมีผลกระทบบ้าง แต่ยังไม่มีการศึกษาในระยะยาวว่าเด็กจะเกิดความสับสนในตัวพ่อแม่
ที่แท้จริงหรือไม่รวมทั้งพ่อแม่ที่ยังไม่แน่ใจในเพศของตัวเองด้วย กรณีหญิงแปลงเพศเป็นผู้ชาย
แล้วตั้งท้องนี้ หากไม่มีการวางแผนเลี้ยงดูเอาไว้ล่วงหน้า หรือเลี้ยงดูโดยไม่รู้หลักจิตวิทยา
ก็อาจจะมีปัญหาได้เช่นกัน

"ถ้าตัวเขามีคู่เป็นผู้หญิง การแสดงบทบาทของพ่อและแม่อาจจะชัดเจนขึ้น เมื่อคลอดแล้ว
ก็มีผู้หญิงอีกคนมาดูแล ป้อนนม เด็กก็เติบโตขึ้นมาได้ อยากให้เขาบอกลูกทุกอย่าง
ไม่เช่นนั้นเด็กอาจจะสับสนได้ แต่ก็ต้องรอเวลาให้เขาโตขึ้นก่อน เด็กทุกคนอยากรู้ถึงต้นตอ
ที่มาของเขาทั้งนั้น" นพ.ทวีศิลป์กล่าว

กลุ่มหญิงรักหญิงเห็นต่างกัน

ตัวแทนกลุ่มหญิงรักหญิงในเมืองไทย แสดงความเห็นเรื่องนี้แตกต่างกันไป อย่างเช่น
น.ส.พรรณพิลาศ หนึ่งในตัวแทนดี้หรือหญิงที่มีแฟนเป็นเพศเดียวกัน กล่าวว่า
"เป็นเรื่องยิ่งใหญ่และน่ายกย่อง เมื่อผู้แปลงเพศเป็นผู้ชายแล้วยังยอมเสียสละตั้งท้อง
แทนฝ่ายหญิง" แสดงว่าทั้งคู่วางแผนเป็นอย่างดี มีทั้งความรักและความอบอุ่น
อยากมีครอบครัวที่พร้อมด้วย พ่อแม่ลูกเหมือนคนปกติทั่วไป อยากเรียกร้องให้สังคม
อย่ามองคนแค่เรื่องเพศเพราะทุกวันนี้คนไทยส่วนใหญ่จะมองแต่ว่าเพศของตัวเองยิ่งใหญ่และ
ถูกต้อง ไม่เคารพสิทธิในการเลือกเพศของผู้อื่นหากกังวลว่าเด็กที่เกิดมาจะมีจิตใจผิดปกติแล้ว
ก็ขอให้ศึกษาประวัติของฆาตกรโรคจิต หรือคนจิตวิปริตส่วนใหญ่ว่าเกิดมาจากครอบครัว
ที่มีพ่อเป็นผู้ชายแท้และแม่ก็เป็นผู้หญิงแท้ทั้งนั้น
ดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินว่าเด็กที่เกิดมาจากครอบครัวรักเพศเดียวกันจะต้องมีความผิดปกติหรือ
แตกต่างจากเด็กทั่วไป

น.ส.นุช นักธุรกิจวัย 30 ปีเศษ ที่แสดงตัวเป็นทอม ไม่เห็นด้วยกับผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชาย
แล้วยังอยากจะมีลูก เพราะถ้าเป็นผู้ชายแล้วก็ควรให้ภรรยาตั้งท้อง
หากภรรยาตั้งท้องไม่ได้ก็ควรหาเด็กกำพร้ามารับอุปการะผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาเป็นผู้ชายแล้ว
ไม่ควรเดินอุ้มครรภ์ไปมา ไม่ควรทำให้สังคมสับสนวุ่นวายไปมากกว่านี้
ี้ เนื่องจากยังมีคนภายนอกบางกลุ่มที่รังเกียจและไม่ชอบกลุ่มผู้หญิงที่ทำตัวเป็นทอมอยู่แล้ว
ยิ่งได้เห็นเรื่องแบบนี้ก็จะยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น"นอกจากอยากมีลูกแล้ว ก็มองได้ว่า คนนี้อยากดัง
หรือต้องการเป็นผู้ชายตั้งท้องคนแรกของโลก จะได้ลงกินเนสส์บุ๊ก หรือโชว์ว่าเป็นคนดัง
ที่ทำเรื่องนี้เป็นคนแรกของโลก" น.ส.นุชให้ความเห็น

น।ส।ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ ตัวแทนกลุ่มอัญจารี ซึ่งทำงานสนับสนุนและปกป้องสิทธิของหญิงรักหญิง

และคนรักเพศเดียวกัน มองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ควรตื่นตระหนกเพราะปัจจุบันมีเด็กเกิดมา
ในครอบครัวที่พ่อแม่เป็นชายรักชายหรือหญิงรักหญิงอยู่จำนวนมากและก็มีงานวิจัยยืนยันว่า
เด็ก
กลุ่มนี้ไม่ได้มีความผิดปกติหรือแตกต่างไปจากเด็กที่เกิดจากครอบครัวทั่วไป
ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เปิดกว้าง สามารถเรียนรู้เรื่องความแตกต่างทางเพศ

นักวิชาการมั่นใจเด็กไม่มีปัญหา

ในส่วนความเห็นของ น.ส.เคทลิน เจ้าของเว็บไซต์ "บางกอกเลสเบี้ยนดอทคอม"
www.bangkoklesbian.com ที่มีการรวมกลุ่มหญิงรักหญิงทั้งชาวต่างชาติและคนไทย มองว่า
เมื่อคนสองคนอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวแล้วต้องการมีลูก ก็ไม่น่าจะมีปัญหาว่าคนสองคนเป็นเพศ
อะไร ส่วนเด็กที่เกิดมาด้วยความพร้อมและความรักของคนทั้งคู่ ก็จะถูกเลี้ยงดูให้เติบโตอย่าง
มีคุณภาพ แต่ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เลี้ยงดูเด็กด้วย
ควรเป็นชุมชนที่มีใจเปิดกว้างไม่มีความคิดโบราณปิดกั้นเสรีภาพของคนอื่น

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าครอบครัวนี้ทำเพื่ออยากดังนั้น ถือเป็นความคิดที่มองโลกในแง่ร้ายมาก
เชื่อว่าพวกเขาทำเพราะอยากมีลูก มีครอบครัวเหมือนคนปกติทั่วไปเท่านั้น อยากให้สังคมไทย
เข้าใจว่าคนที่ผ่าตัดแปลงเพศเป็นชาย หรือผ่าตัดแปลงเพศเป็นหญิงนั้น
ที่เรียกกันว่า "ทรานสเจนเดอร์"
ก็เพราะพวกเขาคิดว่าตัวเองเกิดมาในร่างกายที่ไม่ใช่ของตัวเอง
และอยากเปลี่ยนแปลงร่างกายให้เป็นเหมือนจิตใจ
ของพวกเขาเท่านั้นเอง เชื่อว่าเด็กที่เกิดมาในครอบครัวนี้จะไม่มีความสับสนในชีวิต
และจะมีความรู้ในเรื่องความหลากหลายทางเพศมากกว่าผู้ใหญ่ที่ยังยึดติดกับความคิด
คับแคบแบบเก่าๆ
ชายอุ้มท้องแทนเมียเตรียมคลอดลูกอีก 4สัปดาห์ข้างหน้า
ภาพ : ประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวกับข่าว


หมอยืนยันผู้ชายแท้ท้องไม่ได้ เหตุเพราะไม่มีรังไข่เช่นหญิง

(9มิ.ย.) กรณีนายโทมัส บีตตี้ ผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นชายตั้งท้องรายแรกของโลก
ซึ่งจะคลอดลูกในอีก 4 สัปดาห์หน้า น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ สูตินารีแพทย์ ให้ความเห็นว่า
ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะนายโทมัสเป็นผู้หญิงที่แปลงเพศเป็นผู้ชาย
แต่ยังเก็บมดลูกและรังไข่เอาไว้แล้วกินฮอร์โมนเพศชาย
ทำให้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนผู้ชายทั่วไป ดังนั้นโดยสภาพฮอร์โมนโทมัส
ก็คือผู้ชาย แล้วตัดแต่งอวัยวะให้เป็นผู้ชาย แล้วไปแต่งงานกับนางแนนซี ซึ่งเป็นผู้หญิงจริงๆ
แต่นางแนนซี ท้องไม่ได้เพราะมีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง นายโทมัสจึงตัดสินใจตั้งท้องเอง
เวลาตั้งท้องจึงไปใช้อสุจิของผู้บริจาคและน่าจะปฎิสนธิกับไข่ของนางแนนซี แล้วใส่กลับเข้าไปในมดลูก ของโทมัสแต่ครั้งนั้นไม่ท้อง โทมัสจึงตัดสินใจจะใช้ไข่ของตัวเอง
เพราะโทมัสเป็นผู้หญิงพอหยุดใช้ฮอร์โมนเพศชายใช้ทำให้สรีระร่างกายกลับมาเป็นผู้หญิงเหมือนเดิม
ทำให้รังไข่กลับมาทำงานเหมือนเดิม

"เรื่องนี้ไม่น่าตื่นเต้นเพราะเป็นเรื่องผู้หญิงตั้งท้องตามปกติ ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ที่อาโนชวาสเนกเกอร์แสดง เรื่อง ทวิน ที่ตั้งท้อง
ซึ่งการตั้งท้องลักษณะดังกล่าวเรียกว่าท้องนอกมดลูก ซึ่งผู้หญิงก็เคยเกิดลักษณะดังกล่าว
เวลาปฎิสนธิแล้วในท่อนำไข่แทนที่มันจะไหลย้อนกลับไปยังท่อรังไข่ผู้หญิง
แต่กลับไปตกพังผืดในท้องถ้ามีเลือดไปเลี้ยงก็โตได้เหมือนกัน
เราเคยเจอในผู้หญิงที่ตั้งท้องนอกมดลูกแบบนี้
แล้วท้องเกือบ 30 อาทิตย์เอาออกมาก็รอด" นายแพทย์สูตินารี กล่าว

น.พ.พันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ชายจริงๆ ท้องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าไม่มีวิธีพิเศษช่วยก็ตั้งท้องไม่ได้
เพราะผู้ชายไม่มีมดลูก แต่ผู้หญิงเวลาแปลงเพศเป็นผู้ชาย จะแปลงเพศได้ 2 อย่าง
คือ 1.ตัดทิ้งหมดทุกอย่างทั้งมดลูกรังไข่แล้วทำอวัยวะเทียมข้างนอกให้เป็นผู้ชาย
กรณีนี้ให้ฮอร์โมนเพศชายไม่สูงนัก และกรณีโทมัสรังไข่ยังอยู่เข้าใจว่าแปลงเพศเป็นผู้ชายเสร็จแล้ว
ก็ให้ฮอร์โมนเพศชายมากๆ ถึงมีหนวด มีเครา แต่อวัยวะภายในเพศหญิงยังอยู่ยังไม่ตัด

ส่วนกรณีที่ผู้ชายอยากอุ้มท้อง พันธ์ศักดิ์ บอกว่า ก็สามารถทำได้เป็นกรณีพิเศษ
คือ นำอสุจิของผู้ชายแท้ ไปผสมกับไข่ของผู้หญิง โดยผสมข้างนอกที่เรียกว่าเด็กหลอดแก้ว
เสร็จแล้วไม่มี มดลูกจะฝังก็จะเจาะท้องฝังไว้ที่พังผืดที่เรียกว่าไขมัน
เพราะพวกนี้จะมีเลือดมาเลี้ยงมาก แต่ระหว่างที่มันโตขึ้นก็ต้องรู้ถุงที่เลี้ยงเด็กไม่มีกล้ามเนื้อมดลูกแข็งๆ
มาปกป้องไว้เวลาท้องอาจจะแตกได้ เวลาแตกก็จะตกเลือดในท้องซึ่งอันตราย
อาจตายได้ถือว่าทฤษฎีเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริง คงไม่มีใครกล้าทำการเอารังไข่
ไปฝังในตัวผู้ชายก็ไม่เกิดประโยชน เพราะสเปิมเข้าไปเจอไม่ได้
เนื่องจากธรรมชาติผู้หญิงช่องคลอดจะต่อกับมดลูก จะมีท่อนำไข่ยื่นยาวไปเจอรังไข่ ทุกเดือน
รังไข่ก็จะตกไปยังท่อนำไข่ เวลามีเพศสัมพันธ์ตัวอสุจิจะว่ายผ่านมดลูกไปเจอกันที่ท่อนำไข
่เมื่อปฎิสนธิแล้วจะย้อนกลับไปฝังในมดลูกรังไข่ฝังเข้าไปก็แค่ทำให้มีฮอร์โมนเพศหญิงไข่ตกเท่านั้นท้องไม่ได้ ต้องมาผสมข้างนอก ซึ่งผู้ชายแท้ตั้งท้องแพทย์ก็คงไม่แนะนำ ถ้าทำให้ไม่เมาก็บ้า

ส่วนเรื่องเสียงวิจารณ์เรื่องความเหมาะสม นพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า
เทคโนลียีมันทำได้ เวลาตัดสินใจอะไรจะมองว่าเหมาะสมหรือไม่
แต่ละคนมองคนละมุม ถ้าคนมองอีกมุมก็จะมองว่าก ็โทมัสแปลงเพศเป็นผู้ชายแล้วทำไม
อยากจะมีลูกอีก แต่ถ้ามองแบบเห็นอกเห็นใจกันคู่นี้มีลูกไม่ได้
เพราะฝ่ายหญิงคือแนนซี มีปัญหาต้องตัดมดลูกทิ้ง
เมื่อโทมัสมีมดลูกอยู่ตัวเองตั้งท้องก็สามารถทำได้ แต่ท้ายที่สุดถ้าไม่ผิดศีลธรรมจรรยาและไม่ได้ผิดกฎหมายแล้วคนที่ทำ
ทำเพราะรู้ ไม่ถูกหลอกก็เป็นสิทธิของเขาตามรัฐธรรมนูญของประเทศนั้นๆ
สำหรับกรณีทองกับดี้ ถ้าจะท้องก็สามารถไปให้แพทย์ดำเนินการได้ตามปกต
ิ ในส่วนของต่างประเทศจะแจ้งจดทะเบียนให้พ่อคือคนเป็นทอม
แต่กรณีของประเทศไทยยังทำไม่ได้
ถ้าเด็กเกิดมาจะไม่มีพ่อมีแต่แม่อย่างเดียว
ในต่างประเทศจะมีผู้หญิงโสดตั้งท้องโดยใช้ชื่อญาติ เช่น พี่ชาย เป็นพ่อ



ภาพ : ประกอบจากอินเทอร์เน็ต ไม่เกี่ยวกับข่าว
ถ้าเป็นผู้ชายเอา


คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...