2551-07-31

เปลี่ยนตัวเอง... ทำงานง่าย สบายขึ้น



ชื่อว่าทุกวันนี้หนุ่มสาววัยทำงานหลายคน ต้องทำงานกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ก็ยังไม่ค่อยพอ แถมเหนื่อยก็เหนื่อย บางคนกลายเป็นมนุษย์บ้างาน ไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย ยิ่งครอบครัวไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น เรามาร่วมเรียนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้เราขี้เกียจกันได้! แต่ยังได้ผลงานที่เหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่า!!! กับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเติมพลังให้กับการทำงานในแต่ละวัน อันนี้ไม่ได้โม้นะ เพราะคุณอภิชาติ สิริผาติ ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊ก เรื่อง "เงินเดือนนิดเดียว ต้องเหนื่อยให้น้อยที่สุด" แนะนำวิธีเปลี่ยนตัวเองอย่างง่ายได้ไว้ได้อย่างน่าสนใจดังนี้ค่ะ
ทบทวนตัวเอง วันละ 10 นาที
หลังเลิกงานทุกวัน หาเวลาสัก 10 นาที ลองทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ตั้งแต่เช้าถึงเย็นแล้ว วิเคราะห์ดูว่า มีงานหรือวิธีการทำงานใดที่ทำไปในวันนี้ แล้วมีวิธีทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลงหรือเปล่า? แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูค่ะ
ทบทวนตัวเอง สัปดาห์ละ 30 นาที
ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน ลองทบทวนดูว่า เวลาของตัวเองที่เกี่ยวกับการทำงานหมดไปกับเรื่องอะไรบ้าง การประชุม โทรศัพท์ งานเอกสาร การอิจฉาคิดร้ายคนอื่น หรืออื่นๆ และดูว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดผลผลิตหรือเปล่า ทำอย่างไรให้เหนื่อยน้อยลง แต่ได้งานเหมือนเดิมหรือมากขึ้น กิจกรรมใดควรตัดออกไปบ้าง
เลิกเคยชินซะบ้าง
อย่าชินกับสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน มองหาวิธีที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า หรือเหนื่อยน้อยกว่า เพราะพวกเรามักใช้ชีวิตกันตามความเคยชินเป็นหลัก จนหลายสิ่งที่เราทำกลายเป็นสัญชาตญาณ และไม่เคยนึกหรือถามตัวเองว่ามีวิธีที่ดีหรือเหนื่อยน้อยกว่านั้นหรือไม่ เช่น หลายคนยังชินกับการรับส่งเอกสารทางแฟกซ์ ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยใช้อีเมล
ทำตัวให้มีเสน่ห์
ความมีเสน่ห์จะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้น แล้วก็เหนื่อยน้อยลงด้วย คนที่มีเสน่ห์มักมีคนให้ความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น ถ้าใครคิดว่าตัวเองยังไม่มีเสน่ห์ล่ะก้อ ลองหัดดูค่ะ เติมเสน่ห์ให้ตัวเองสักนิด อาจเริ่มต้นง่ายๆ เช่น พูดจาดี ยิ้มเก่ง รู้จักชมผู้อื่น (มีกฎว่าวันหนึ่งคุณควรชม (อย่างจริงใจนะ) เพื่อนร่วมงานอย่างน้อยสัก 3 คน) เป็นต้น
ไม่เห็นด้วย ต้องพูดดังๆ
หลายคนเหนื่อยฟรี! เพราะต้องทำงาน 2-3 รอบ โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่กว่า เนื่องจากการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่างานนั้นควรทำอย่างไร ฉะนั้น หากไม่เห็นด้วย มีความเห็นอย่างไรควรพูดออกไป ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้คนอื่นมองเห็นหลายๆ ด้าน ถึงแม้จะเปลี่ยนคำสั่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราจะได้แสดงความสามารถของเรา และไม่โดนตำหนิภายหลังว่า รู้แล้วทำไมไม่พูด
ลำดับความสำคัญ
การรู้ว่าควรต้องทำงานไหนก่อน งานไหนทำทีหลัง ทำให้เหนื่อยน้อยลงได้มาก เพราะการไม่ทำงานสำคัญก่อนและต้องมาเร่งทำแข่งกับเวลาจะเป็นสิ่งที่สร้างความเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวเสร็จไม่ทัน และอาจต้องอยู่ทำงานดึกได้
ทำอะไร ทำให้เสร็จ
การทำงานอย่างละนิดละหน่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะทำให้ไม่มีความต่อเนื่อง ลืมบางสิ่งบางอย่างและอาจรู้สึกเบื่อได้ เพราะจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง และมักทำให้ต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม งานไม่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้น หากเริ่มงานสิ่งใดพยายามทำให้เสร็จไปเป็นอย่างๆ
ตั้งเป้าประจำวัน และทำให้เสร็จ
พยายามตั้งเป้าให้ตัวเองทุกวันว่า วันนี้เรามีงานอะไรจะทำให้เสร็จบ้าง โดยจดเป็นเช็กลิสต์ไว้และอาจผสมงานยากงานง่าย งานที่สามารถทำให้เสร็จได้ในวันเดียวไว้ด้วยกัน และมุ่งมั่นทำให้ได้ตามนั้น การที่สามารถทำอะไรให้เสร็จได้ทุกวัน จะทำให้รู้สึกมีความคืบหน้าทุกวันและความเหนื่อยน้อยลง
ไม่พูดแบบนักการเมือง ความหมายนี้ก็คือ พยายามฝึกพูดให้สั้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย มีการสรุปสาระสำคัญความต้องการ โดยสามารถสื่อให้คนฟังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอะไร เราคาดหวังอะไร ต้องรู้จักสรุปความคิดของตัวเองให้ชัดเจน ตกผลึกก่อนที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น เพราะถ้าตัวเองยังไม่ชัดเจน ย่อมถ่ายทอดความไม่ชัดเจนออกไปด้วยเช่นกัน
ลองใส่ "วันใหม่ๆ" ลงไปในปฏิทินของคุณ
ข้อสุดท้ายของการลอง "ปรับ-เปลี่ยนแปลงตัวเอง" อภิชาติ แนะนำให้ใช้วิธีเขียนวันใหม่ๆ โดยใช้ปากกาเน้นแถบสีสดๆ ใส่ลงไปในปฏิทิน เช่น "วันเก็บโต๊ะทำงาน" วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ "วันเคลียร์ไฟล์ในคอมพิวเตอร์" สำหรับวันอังคารและวันพุธ "วันทบทวนระบบทำงาน" ในวันจันทร์และวันอังคารของสัปดาห์ต่อไป ส่วนวันศุกร์กันไว้ให้เป็น "วันเคลียร์เอกสารที่ไม่ใช้" สัปดาห์ต่อไปอาจไม่มีวันใหม่ๆ แต่ก็อย่าลืม!!! "วันทบทวนตัวเอง" ไว้สักวันในอาทิตย์ก่อนที่เดือนนี้จะสิ้นสุดลง

2551-07-30

เทคนิคการเอาตัวรอด จากตำรวจจราจร




ในกรณีที่ตำรวจจราจรเรียกแล้ว

ไม่ว่ากรณีใดๆ ขอให้ท่านปฎิบัติตัวดังต่อไปนี้



๑. อย่าไปโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น และพูดจาให้สุภาพที่สุด

๒. ระงับอารมณ์ให้เป็นปกติ ประหนึ่งว่ามีเรื่องตลกเกิดขึ้น

๓. จราจรขอดูใบขับขี่ ห้ามให้ดูเด็ดขาด ( คุณอาจจะถ่ายสำเนาใบขับขี่ แล้วยี่นให้เขาดูจะดีที่สุด)

๔. ขอให้จราจรเขียนใบสั่งให้คุณ เขาจะเพิ่มข้อหาอีกข้อหนึ่งคือ ไม่มีใบอนุญาติขับขี่ ก็ให้เขาเพิ่ม

ข้อหา

๕. เมื่อได้รับใบสั่งมาแล้ว คุณจะฉีกทิ้งหรือเก็บไว้เป็นที่ระลึกก็สุดแท้แต่คุณ

๖. คุณไม่ต้องไปจ่ายค่าปรับตามใบสั่ง



ประเด็นสำคัญ อย่าให้จราจรดูใบขับขี่เด็ดขาด เพราะมันจะยึด(วิ่งราวทัพย์)ใบขับขี่คุณไป แล้ว คุณก็ต้องยอมไปเสียค่าปรับเพื่อจะเอาใบขับขี่กลับคืน


เมื่อคุณไม่ไปชำระค่าปรับจะมีผลอย่างไร



๑. ไม่มีผลต่อการเสียภาษีรถยนต์หรือจักรยายนต์ทั้งสิ้น คุณยังไปชำระค่าภาษีได้ตามปกติ

แม้ จราจรจะขู่ ว่าจะอายัดทะเบียนก็ตาม

๒. ขนส่งไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่รับต่อภาษี ไม่มีสิทธิ์ยึดหน่วงเล่มทะเบียน

๓. การอายัดเล่มทะเบียนมันเป็นข้อตกลงระหว่างตำรวจกับกองทะเบียน ไม่ได้เป็นข้อกฎหมาย

ที่จะบังคับ ใช้กับประชาชนได้ ดังนั้นขนส่งทุกแห่งจะไม่รับชำระภาษีหรือยึดหน่วงเล่มทะเบียน

ไม่ได้


ข้อมูลนี้หามาให้อ่านเป็นความรู้ ไม่ได้ส่งเสริมให้ใครทำผิดกฎหมาย แต่ไม่อยากเห็นใครเสียเปรียบโดยไม่ เป็นธรรม เพื่อนๆ มีประสบการณ์เช่นไรกับตำรวจจราจร ขอเชิญแสดงความคิดเห็นได้

2551-07-29

17 คำสอนขององค์ทะไลลามะ สำหรับคนทำงาน



1 . คิดไว้เสมอว่า "หวังในความสำเร็จมาก
ก็เสี่ยงที่จะสูญเสียมาก"

2 . ยามใดที่แพ้ ให้นำสิ่งที่แพ้มาเป็นบทเรียน

3 . กฎ 3 อาร์ น่าคิด Respect for self
คือเคารพตัวเอง, Respect for others เคารพผู้อื่น
และ Responsibility คือรับผิดชอบในทุกๆ การกระทำของตน

4 . บางครั้งการที่มาเอาตัวไปข้องเกี่ยว
กับสิ่งที่ตนเองอยากได้ใคร่มีมากเกินไป
ก็อาจทำให้คุณได้ในสิ่งนั้นอย่างไม่น่าเชื่อ

5 . เรียนรู้กฎให้ละเอียดถ่องแท้ เผื่อว่าคุณอาจหาทางแหกกฎได้อย่างถูกวิธี

6 . อย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่

7 . เมื่อใดที่รู้สึกว่าทำผิด ให้รีบแก้ไขให้ถูกต้อง

8 . ใช้เวลาอยู่กับตัวเองในทุกๆ วัน

9 . อ้าแขนให้กว้างเพื่อรับสิ่งท้าทายในชีวิต และเมื่อใดที่มีสิ่งล้ำค่าเข้ามา ก็อย่าปล่อยมันไป

10 . จงจำไว้ว่าบางครั้ง ความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับบางเรื่อง

11 . ใช้ชีวิตให้ดีอย่างคนมีเกียรติ เพราะเมื่อตอนเราแก่ตัวลงจะได้มองย้อนกลับไปในอดีตอย่างมีความสุข

12 . บรรยากาศในบ้านแสนสุขเป็นพื้นฐานที่ดีของการดำรงชีวิต

13 . เมื่อไม่เห็นด้วยกับคนที่เราแคร์ในบางเรื่อง ให้ทะเลาะกันได้เฉพาะในปัญหาปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องอดีต

14 . มีความรู้อะไรก็ให้รู้จักแบ่งปัน เพราะความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย (ตัวตายแต่ชื่อยัง ถ้าสร้างชื่อเสียงในทางที่ดี)

15 . รู้จักรักและเคารพโลก

16 . ในแต่ละปี ให้เดินทางไปในที่ที่คุณยังไม่เคยไปมาก่อน

17 . ประเมินความสำเร็จในสิ่งที่คุณไม่เคยทำสำเร็จ
เพื่อจะได้มุ่งมั่นทำมันให้สำเร็จ


แว่นตา...สำหรับคนทำงานหน้าคอมพิวเตอร์

แว่นตา...สำหรับคนหน้าคอมพ์ (Computer glasses)
ศ.พญ.สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต จักษุแพทย์



อินเตอร์เน็ตได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้าให้โลกปัจจุบันกลายเป็นโลกไร้พรมแดน อุปกรณ์คอมพิวเตอร์จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากมายในชีวิตประจำวัน
ไม่เว้นแม้แต่เด็กก็ยังต้องใช้ในการทำรายงานส่งครู เล่นเกม
ตลอดจนติดต่อสื่อสารและคุยเล่นกัน


สิ่งใดมีคุณก็มักจะแฝงด้วยโทษเสมอ ผู้ใช้อุปกรณ์นี้นานเกินไปหรือไม่เหมาะสม
อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่เรียกกันว่า
“computer syndrome”
ซึ่งหมายถึงกลุ่มอาการต่างๆ ที่เกิดหลังการใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งมักเกิดกับกล้ามเนื้อ
กระดูก และดวงตา ได้แก่ อาการปวดเมื่อยต้นคอ บริเวณหัวไหล่ หลัง เมื่อยมือ ปวดนิ้ว
ร่วมกับอาการทางตาที่เรียกกันว่า
“computer vision syndrome”
ได้แก่ อาการปวดตา แสบตา ตาแห้ง ตามัว ปวดเบ้าตา ปวดศีรษะ เป็นต้น

จากการศึกษาพบว่าบรรดาจอภาพคอมพิวเตอร์ต่างๆ ล้วนมีรังสีหลายชนิดทั้งที่มองเห็นและไม่เห็นด้วยตา
ได้แก่ รังสีเอกซ์ รังสียูวี อินฟาเรด ตลอดจนรังสีขนาดความถี่ของคลื่นวิทยุ (radio frequency emission)
แต่อยู่ในจำนวนที่น้อยมาก น้อยกว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยที่ตั้งไว้
เช่น รังสีเอกซ์ ตั้งไว้ไม่เกิน 2.5 หน่วย ก็มีเพียง 0.3 หน่วย รังสียูวี ตั้งไว้ไม่เกิน 1,000 หน่วย
ก็มีเพียง 0.65 หน่วย รังสีขนาดความถี่ของคลื่นวิทยุให้ไว้ได้ 40,000 หน่วย ก็ตรวจพบเพียง 5,000 หน่วย
เป็นต้น

จึงค่อนข้างเชื่อได้ว่ารังสีที่ออกมาจากอุปกรณ์เหล่านี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรงต่อตา
แต่คนที่ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ มักเกิดอาการไม่สบายตาได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
ประมาณกันว่าตาคนเราสามารถปรับโฟกัสให้เห็นชัดดีในภาพที่มีขอบเขตชัดเจนมี contrast ที่ดี
แต่ภาพที่เกิดจากอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เกิดจากจุดเล็กๆ หลายจุดที่เรียกกันว่า “พิกเซล” (pixel) ซึ่งมาจากคลื่นไฟฟ้าในเครื่องวิ่งไปชนกับพื้นหลังของจอที่เคลือบด้วยฟอสฟอรัส ลักษณะของพิกเซล
แต่ละจุดมีความสว่างไม่เท่ากัน สว่างมากตรงกลางและจางลงบริเวณขอบๆ ขอบจึงไม่ชัด
ถ้าปรับเครื่องไม่ดีจะเห็นเป็นแสงกระพริบ

ดังนั้นตาเราปรับโฟกัสภาพบนจอได้ไม่ดี ทำให้เกิดการเพ่งโดยอัตโนมัติ การต้องเพ่งอยู่นานๆ
นำมาซึ่งอาการของ computer vision syndrome ที่แต่ละคนจะเกิดมากน้อยแตกต่างกันไป
เนื่องจากลักษณะของตัวคอมพิวเตอร์เองดังกล่าวข้างต้น ตลอดจนการจัดโต๊ะทำงาน
ปรับแสงที่ไม่ถูกต้อง งานที่เร่งและมากเกินไป ที่สำคัญก็คือสายตาของผู้ใช้ ซึ่งพบว่า “แว่นตา”
เข้ามามีบทบาทมากทีเดียว

มีการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันถึงร้อยละ 80 ที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานเป็นประจำ มีอาการของ

computer vision syndrome
และร้อยละ 70 ของคนจำนวนนี้อาการต่างๆ บรรเทาลงได้ด้วยการ
ใช้แว่นตาขณะทำงาน มีบางรายงานพบว่าประสิทธิภาพของงานดีขึ้นกว่าไม่ใช้แว่นถึง 7 เท่า
หากผู้ทำงานกับคอมพิวเตอร์มีสายตาผิดปกติร่วมด้วย

การใช้แว่นขณะทำงานน่าจะมีประโยชน์มากอยู่ แว่นตาที่ใช้ขณะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ที่ด
ีควรมีคุณลักษณะต่างๆ ดังนี้


กำลังสายตาที่ถูกต้อง คนที่ใช้แว่นสายตาสั้น ยาว เอียง และมีอายุน้อยกว่า 40 ปี มีความสามารถเพ่ง
(accommodation) ที่ดี มักไม่มีปัญหาอะไร ยังคงใช้แว่นที่ใช้ตามปกติได้ สำหรับผู้มีสายตาสั้นไม่มาก
อาจทำงานกับคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้แว่นก็ได้ แต่ปัญหากำลังสายตาสำหรับผู้มีอายุเกิน 40 ป
ี มีภาวะสายตาผู้สูงอายุ (prosbyopia) ซึ่งมักมีแว่นมองใกล้ที่ใช้อ่านหนังสือเป็นแว่นที่ใช้ในระยะ 12-15 นิ้ว

แต่การใช้คอมพิวเตอร์จะอยู่ที่ระยะไกลกว่า คือ ประมาณ 18-28 นิ้ว หรืออาจเรียกว่าเป็นสายตาระหว่างกลาง
(intermediate vision) การทำแว่นเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์จึงควรใช้กำลังเลนส์ที่คมชัดระยะ 18-28 นิ้ว
หรือประมาณ 40-60% ของแว่นอ่านหนังสือ อีกประการหนึ่ง เวลาเราอ่านหนังสือ
ตาจะเหลือบลงต่ำ 20-30 องศา ในขณะที่มองคอมพิวเตอร์จะเหลือบลงต่ำเพียง 10-15 องศา
ดังนั้นจุดชัดของแว่นต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วย

ตามทฤษฎีแล้วการทำแว่นเพื่อใช้กับคอมพิวเตอร์น่าจะมีการวัดสายตาด้วยแผ่นวัดสายตาที่เลียนแบบอักษรที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาพมีแสงกระพริบ ขอบเขตไม่ชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติเพื่อความสะดวกยังคงใช้แว่นวัดสายตาของ Snellen ที่ใช้กันทั่วไปที่เป็นภาพนิ่ง ขอบชัด มี contrast ที่ดี จึงอาจได้ค่าสายตาที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ก็พออนุโลมให้ใช้ได้

• รูปแบบแว่นสายตา อาจเป็นแว่นชั้นเดียว 2 ชั้น 3 ชั้น หรือแว่นหลายชั้นที่ไร้รอยต่อ (progressive lens)

แว่นชั้นเดียว เลือกกำลังที่เหมาะสำหรับระยะการใช้งาน 18–28 นิ้ว ใช้สำหรับทำคอมพิวเตอร์อย่างเดียว
ราคาถูก แต่มองใกล้ๆ หรือไกลไม่ได้ แว่น 2 ชั้น ที่ใช้กันทั่วไป ชั้นบนใช้มองไกล
ชั้นล่างใช้อ่านหนังสือหรือมองใกล้ ซึ่งแว่นแบบนี้ไม่เหมาะสำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นสายตาระหว่าง
กลางทำให้มองไม่ชัด อีกทั้งผู้ใช้มักจะต้องแหงนหน้ามากกว่าปกติทำให้ปวดเมื่อยต้นคอได้

แว่น 2 ชั้นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์อาจทำเป็นเลนส์บนมองไกล เลนส์ล่างใช้ระยะ 18–28 นิ้ว
สำหรับมองคอมพิวเตอร์ แต่จะมีข้อเสียคืออ่านหนังสือใกล้ไม่ชัด หรืออาจเลือกเลนส์บนมองคอมพิวเตอร์
เลนส์ล่างดูหนังสือ แบบนี้ข้อเสียคือมองไกลไม่ชัด จะตัดสินใจเลือกเลนส์ชนิดไหนคงต้องขึ้นอยู่กับแต่ละคน
ว่าใช้สายตามองไกล มองคอมพิวเตอร์ ดูหนังสือ ระยะไหนมากกว่ากัน

แว่นหลายชั้นไร้รอยต่อ นอกจากเป็นแว่นพรางอายุแล้ว ยังเป็นแว่นที่ใช้มองคอมพิวเตอร์ ได้ดีที่สุด
เพราะมีกำลังเลนส์ที่ลดหลั่นกันลงมา มองชัดทั้งระยะไกลมาจนใกล้ ในรูปแบบนี้ถ้าเลนส์รุ่นเก่าๆ
ระยะมองใกล้อาจจะแคบมาก อีกทั้งภาพด้านข้างมักจะบิดเบือนจากความเป็นจริง เวลาที่ชำเลืองมองด้านข้าง
ภาพที่เห็นบิดเบี้ยวจะทำให้เกิดอาการมึนงงได้ แต่ในปัจจุบันเลนส์ชนิดนี้ผลิตได้ดีขึ้นระยะมองใกล้กว้างขึ้น
ภาพบิดเบี้ยวจากด้านข้างน้อยลง อย่างไรก็ตามการใช้เลนส์ชนิดนี้ต้องฝึกสักระยะมักจะใช้การได้ดี

เลนส์ในกลุ่มนี้อาจทำให้เห็นชัดจากระยะ 1 เมตร เข้ามาถึงระยะอ่านหนังสือ ทำให้เห็นเอกสารบนโต๊ะที่อยู่ไกล
จากระยะคอมพิวเตอร์ได้ดี แต่คงไม่ชัดสำหรับการขับรถ

การทำเคลือบผิวเลนส์ (coating) เป็นขบวนการเคลือบเลนส์ด้วยสารเคมีบางอย่าง เพื่อกรองแสงจ้า
ที่สะท้อนเข้าตา ทั้งแสงจากตัวคอมพิวเตอร์ แสงที่ลอดจากหน้าต่าง แสงจากหลอดไฟที่เพดานห้อง โดยเฉพาะแสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่ใช้ในห้องจะมีแสงยูวีและแสงสีน้ำเงินลอดออกมาด้วย
การเคลือบผิวเลนส์จะตัดแสงนี้ออกไป ปกติแล้วแสงสีน้ำเงินทำให้ตาคนเราปรับโฟกัสยาก เนื่องจากมีคุณสมบัติกระจายแสงมาก การเคลือบช่วยตัดสีน้ำเงินออกจึงทำให้ตาปรับโฟกัสได้ดีขึ้น

• ทำสีที่เลนส์ (tint) เป็นการลดแสงสว่างที่จ้ามากเกินไปลง อีกทั้งกรองสีน้ำเงินออกไป
อาจใช้สีเทาซึ่งช่วยลดความสว่างลง สีชมพูจะตัดสีน้ำเงินออกไปมากกว่าสีอื่น หรือสีเบจ
(สีเทาแกมแดง) เพิ่ม contrast ขึ้น

• ใส่ปริซึม เพิ่มเข้าไปในผู้ที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อกลอกตา ผู้ที่มีตาเข ตาเอก ควรใส่ปริซึม
เข้าไปจะทำให้ใช้สายตาสบายขึ้น

2551-07-23

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3
ในงานประเพณีแห่เทียนพรรษา จังหวัดอุบลราชธานี

กำหนดจัดงาน 1 - 31 กรกฎาคม 2551
จังหวัดอุบลราชธานี

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3

สัปดาห์แรก วันที่ 1 - 6 กรกฎาคม 2551 "สานศิลป์ถิ่นอุบล"

  • พิธีเปิดงานแสดงประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3 วันอังคารที่ 1 ก.ค. 2551 เวลา 19.00 น. บริเวณหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน)

  • เยี่ยมชมชุมชนและศึกษาเรียนรู้วิถีวัฒนธรรมของชุมชนช่างและศิลปินท้องถิ่น ในการจัดทำต้นเทียน เพื่อเตรียมเข้าร่วมขบวน แห่เทียนพรรษาของเมืองอุบลซึ่งเป็นศาสตร์และศิลป์ชั้นเอกอย่างหนึ่งของประเทศไทย โดยการตกแต่งต้นเทียนดังกล่าวสามารถ เข้าชมได้ทั้ง 9 คุ้มวัด (เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-16 ก.ค. 2551)

  • ชุมนุมศิลปิน และนักเรียนนักศึกษาศิลปะ จากสถาบันศิลปะทั่วประเทศ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ทั้งศาสตร์แห่งศิลปะสากล และศิลปะภูมิปัญญาท้องถิ่น และกิจกรรม "ปีท่องเที่ยวอีสาน" สำนักงาน ททท. ทั่วประเทศร่วมส่งเสริมการเดินทาง ท่องเที่ยวอีสานเมืองอุบล

  • ชมการเริ่มทำงานประติมากรรมเทียนของศิลปินนานาชาติ ร่วมหล่อเทียนประจำวันเกิดเพื่อเป็นพุทธบูชา การแสดงทางวัฒนธรรม/สาธิต/นิทรรศการศิลปกรรมต่างๆ ที่สำคัญของเมืองอุบล เช่น การแสดงเครื่งปั้นดินเผา อาหารพื้นบ้าน ขนมพื้นเมือง การแสดงธง ตุง พื้นบ้าน งานใบตองโบราณและผ้าพื้นเมือง บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3

สัปดาห์ที่สอง วันที่ 7 - 13 กรกฎาคม 2551 "สานผลศิลปินนานาชาติ"

  • ชมการทำงานและแกะสลักของศิลปินนานาชาติ จำนวน 9 ประเทศ ประกอบด้วย เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น ตุรกี เม็กซิโก ยูเครน ลักแซมเบอร์ก อิตาลี อินเดีย และหนึ่งศิลปินชาวอุบลราชธานี (นิโรจน์ อยู่เมืองสุข) ต่างล้วนเป็นผู้มีผลงานในระดับประเทศที่ถูกคัดสรรแล้วและบางคนยังเป็นสมาชิกของสมาคมประติมากรโลก มาสร้างสรรค์ผลงานภายใต้แนวคิดรวมหนึ่งเดียว คือ "โลกเย็นที่ประเทศไทย" (Global cooling @ Thailand) ณ ลานประติมากรรมเทียนนานาชาติ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอุบลราชธานี

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3

สัปดาห์ที่สาม วันที่ 14 - 20 กรกฎาคม 2551 "สานศาสน์เมืองพุทธศิลป์"

  • ชมขบวนแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ ในวันที่ 18 ก.ค. 2551 และสามารถชมความสวยงามในยามค่ำคืนของขบวนแห่เทียนพรรษาได้ก่อนที่บริเวณรอบทุ่งศรีเมือง ในคืนวันที่ 17 ก.ค. 2551 พร้อมร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรมเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชาตามพระอารามต่างๆ ทั่วเมืองอุบลฯ

  • ชมการแข่งขันแกะสลักเทียนระดับเยาวชนจากนานาชาติ จากกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงกว่า 40 คน ประกอบด้วย จีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา เวียดนาม

  • ร่วมงานพาแลงประกวดธิดาต้นเทียนและการแสดงแสง-เสียง
    ถ่ายทอดสดขบวนแห่เทียนพรรษา ผ่าน www.tourismthailand.org ในวันที่ 18 ก.ค. 2551

งานประติมากรรมเทียนนานาชาติ ครั้งที่ 3

สัปดาห์ที่สี่และห้า วันที่ 21 - 31 กรกฎาคม 2551 "สืบศิลป์ในแผ่นดินธรรม"

  • ชมความงามของเทียนพรรษาจากทั่วจังหวัดอุบลราชธานีที่สร้างสรรค์ โดยศิลปินชาวอุบลฯ

  • ร่วมสัมผัสความยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวในโลกของงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี

  • ชมผลงานสร้างสรรค์ประติมากรรมเทียนที่เสร็จสมบูรณ์ของศิลปินนานาชาติ และชาวอุบลฯ ภายใต้แนวคิด "โลกเย็นที่ประเทศไทย" (Global cooling @ Thailand) ณ ลานประติมากรรมเทียนพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดอุบลราชธานี จัดให้ชมฟรีไปจนถึง คืนวันที่ 31 ก.ค. 2551 แล้วทำพิธีหลอมละลายเทียนผลงานที่สร้างสรรค์คืนสู่ธรรมชาติต่อไป

ถ้ายังไงก็ขอเชิญเพื่อน ๆ ถ้ามีโอกาสก็เชิญไปเที่ยวชมงานได้จนถึงสิ้นเดือนนี้ค่ะ แล้วก็อยากให้ทุก ๆ คนอย่าลืมหาโอกาสไปทำบุญเพื่อสร้างกุศลให้กับตนเองและครอบครัวด้วยนะค่ะ

ส่งท้าย :ขอเชิญเพื่อนๆ ช่วยกันเข้ามาชม blog krirk-25 มาร่วมแสดงความคิดเห็นนะค่ะ ขอบคุณค่ะ /ขอบคุณครับ

2551-07-19

10 อาหารเสริมน่ารู้ สำหรับผู้ชาย


การเลือกซื้ออาหารเสริมให้กับตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายผู้ชายหลายคนคิดจะสรรหาวิตามินนับร้อย
มากินคู่กับอาหารมื้อหลักเพื่อชดเชยสภาวะขาดแคลนปริมาณสารอาหาร คนหนุ่มอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าวิตามินหรืออาหารเสริมจะช่วยป้องกันโรคบางอย่างไม่ต่างกับการสร้างภูมิต้านทาน
ถ้าการมุ่งหน้าไปร้านขายยาเพื่อซื้ออาหารเสริมเพียงแค่ 1-2 ชนิด ทำให้คุณต้องวุ่นวายกับข้อมูลจำนวนมากจนไม่ สามารถจัดการกับข้อมูลหรือ อาหารเสริมที่ต้องการได้
การสอบถามจากคนรอบข้างและการหาข้อมูลเพิ่มเติมจะช่วยคุณได้มากในขั้นตอนของการตัดสินใจว่าอะไรคือ
อาหารเสริมที่คุณต้องการจริง ๆ

1. กรดโฟลิก(folic acid)มีคุณสมบัติช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
และอาการเส้นเลือดในสมองแตกในผู้ชาย คุณจึงควรหันมาให้ความสนใจกินอาหารที่มีกรดโฟลิก
ซึ่งมีอยู่มากในผักใบเขียวทุกชนิด หรือหากต้องการบริโภคอาหารเสริมประเภทกรดโฟลิก การกินอาหารเสริมประเภทนี้ตามคำแนะนำของแพทย์จะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
2. กระเทียม(Garlc) ช่วยลดความดันเลือด ลดคอเลสเตอรอลในร่างกายและช่วยในเรื่องการไหลเวียนของเลือดได้ นอกจากนี้การบริโภคกระเทียมเป็นประจำจะทำให้ผลด้านไวรัส ช่วยลดความเสี่ยงในเรื่องเส้นเลือดสมองแตก
และลดความเสี่ยงของการเกิดอาการหัวใจวายและหากกินกระเทียมชนิดสดหรือกระเทียมที่นำไปปรุงอาหาร
เป็นประำจำได้จะเป็นการดีกว่าอาหารเสริมประเภทกระเทียม ควรจะเป็นทางที่สองสำหรับคุณ
3. สังกะสี(Ziuc)คุณอาจไม่ทราบว่าผู้ชายเป็นเพศที่สูญเสียปริมาณสังกะสีในร่างกายได้ง่ายเพราะทุกครั้ง
ที่มีการหลั่งน้ำอสุจิ สังกะสีปริมาณ 5 มิลลิกรัมซึ่งเป็นปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของปริมาณสังกะสีที่ร่างกายต้องการต่อวันจะถูกขับออกไปด้วย ดังนั้น ผลเสียที่ตามมาจากการที่ร่างกายขาดสังกะสีก็คือ ความต้องการทางเพศลดลง และโอกาสที่จะเป็นหมันสูง
รวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพในการดมกลิ่นและัรับรส แหล่งที่มาของอาหารเสริมชนิดนี้ได้แก่ อาหารทะเลจำพวกหอยนางรม ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช และเนื้อสัตว์ ส่วนข้้อควรระวังสำหรับการกินแร่ธาุตุประเภทสังกะสีคือ ในกรณีที่คุณบริโภคสังกะสีมากกว่าวันละ 25 มิิลลิกรัมเป็นประจำอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และท้องผูกตามมา
4. โสม(Ginseng) มีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูพลังงานทั้งร่างกายและสภาวะจิตใจ เมื่อคุณอยู่ในอาการเคร่งเครียด โสมจะช่วยให้ระดับกลูโคสอยู่ในระดับเป็นปกติ ทำให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย ช่วยให้สมาธิในการทำงาานดีขึ้น จากการวิจัย โสมยังช่วยยืดอายุเซลล์และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับฮอร์โมนเทส-โทสเตอโรนในเพศชายได้เป็นอย่างดี
5.น้ำมันปลา(Omega 3) จากการศึกษาพบว่า โอเมก้า3 มีกรดไขมันที่สำคัญหลายชนิดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันเลือดสูงมีผลในการรักษาโรคที่เกิดจาก
การอักเสบเรื้อรัง และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย แหล่งที่มาของสารอาหารประเภทน้ำมันปลาตามธรรมชาติ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาแมคคอเรล ปลาเฮอริ่ง ปลาซาร์ดีน และปลาที่มีไขมันต่ำ แ่ต่หากบริโภคในปริมาณที่มากเิกินไปน้ำมันปลาก็จะเข้าไปเพิ่มระดับน้ำตาลซึ่งเป็นอันตรายสำหรับผู้ป่วย
ที่เป็นโรคเบาหวาน
6. กลูโคชาม์น ซัลเฟต(Glucosamine Sulfate) มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของไขข้อ
การสร้างกระดูกอ่อน มีประสิทธิภาพในการป้องกันข้อต่อต่าง ๆในร่างกาย สามารถช่วยซ่อมแซมไขข้อ กระดูดอ่อน บรรเทาอาการเอ็นยึด และอาการกระดูกสันหลังเคลื่อน มีประโยชน์อย่างมากเมื่อใช้ในผู้ชายที่มีอาการปวดหลัง ข้ออับเสบ หรือบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา
7. สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ซอว์ พาลเม็ดโต(Saw Palmetto) สารสกัดจากผลปาล์มอเมริกันแคระ ช่วยบรรเทาอาการต่อมลูกหมากโตชนิดรุนแรงและช่วยกระตุ้นการหดตัว
ของต่อมลูกหมาก แต่ข้อเสียของสารสกัดนี้คือผลข้างเคียงที่จะทำให้ปัสสวะบ่อยขึ้น และหากยังไม่แน่ใจถึงวิธีการรับประทานควรปรึกษาแพทย์
8. แคตส์ คลอว์(Cats Claw) เป็นสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่ง พบในอเมริกาใต้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และำกำจัดเซลล์ผิดปกติ แถมยังป้องกันการอักเสบการติดเชื้อไวรัส ป้องกันมะเร็งและช่วยให้การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวดีขึ้น
9. มิลค์ ทิสเซิล(Milk Thistle) เป็นของเหลวจากพืชชนิดหนึ่ง ช่วยป้องกันตับเป็นพิษจากปริมาณของแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมทั้งช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ จากการที่ตับถูกทำลายด้วยไวรัสตับเป็นพิษ ดังนั้น การกินมิลค์ ทิสเซิลมันน่าจะสำหรับผู้ชายที่ชอบดื่มหนักเป็นประจำ
10.อาหารเสริมกลุ่มแอนตี้ออกซิ-แดนท์(Antioxidants) อาหารเสริมกลุ่มนี้มีคุณสมบัติช่วยต้านหรือลดการทำงานของอนุมูลอิสระ ไม่ให้เกิดการเผาพลาญหรือไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายมากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มชายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ รวมทั้งมลพิษต่าง ๆ
ในสภาวะแวดล้อมที่คุณต้องเผชิญ อาหารเสริมที่มีความจำเป็นในการใช้เพื่อต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ได้แก่ วิตามินอี ซี และ ซิลีเนียม

นอกจากนี้ผลการวิจัยจากหลายสถาบันยังกล่าวด้วยว่า ผู้ชายที่กินซีลิเีนียมวันละ 200 มิลลิกรัม เป็นประจำ มีโอกาสเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก สำไส้ ปอด รวมทั้งมะเร็งอื่น ถึงร้อยละ 50 เลยที่เดียว

2551-07-15

9 เคล็ดลับช่วยประหยัดน้ำ



น้ำ


ด้วยภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ในตอนนี้ อะไรๆ ก็แพงขึ้นทุกวี่วัน การประหยัดพลังงานอย่างน้ำมัน ไฟฟ้า หรือน้ำ ก็ถือว่าเป็นการช่วยเซฟเงินในกระเป๋าเราได้วิธีหนึ่ง ถ้างั้นเรามาเริ่มที่เรื่องใกล้ตัวอย่างการประหยัดน้ำในชีวิตประจำวันกันก่อนเลย


1. อย่าเปิดน้ำทิ้งโดยเปล่าประโยชน์ ขณะล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด หรือฟอกสบู่ และควรล้างผักผลไม้ จานชาม ในอ่างหรือภาชนะที่มีการเก็บน้ำไว้เพียงพอ เพราะการล้างด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อกน้ำโดยตรง จะใช้น้ำมากกว่าการล้างด้วยน้ำที่บรรจุไว้ในภาชนะถึงร้อยละ 50


2. ตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ เพื่อลดการสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์ โดยปิดปั๊มน้ำและก๊อกน้ำทั้งหมด แล้วตรวจสอบมิเตอร์ดู ถ้าหากตัวเลขมิเตอร์ยังเดินอยู่ก็แสดงว่ามีจุดรั่วไหล ให้ค่อยเช็กไปทีละจุดจนกว่าจะพบ


3. เราสามารถนำน้ำที่ใช้ล้างจานชาม ล้างแก้ว ล้างผัก ซักผ้า (น้ำสุดท้าย) มาใช้รดน้ำต้นไม้ได้อีกครั้ง


4. เวลามีแขกมาเยี่ยมที่บ้าน ให้เสิร์ฟน้ำแค่ประมาณ 70%ของแก้ว หรือใช้แก้วใบเล็กเสิร์ฟแทน เพราะบางคนดื่มน้ำไม่เยอะ หรือเราอาจจัดเตรียมเหยือกใส่น้ำไว้สำหรับเติมให้แขกบางคนที่ชอบดื่มน้ำเยอะ ก็ได้ เพราะการเติมน้ำทีละนิดย่อมดีกว่าเหลือทิ้ง


5. ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำไหลตลอดเวลา ในขณะที่ล้างรถ เพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำ จะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตร ต่อการล้างหนึ่งครั้ง


6. ลดความถี่ในการล้างรถลง เช่น จากสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็เหลือแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยประหยัดน้ำได้โดยตรงเลยล่ะ


7. ถ้าที่บ้านคุณใช้โถส้วมแบบชักโครก ให้นำหินจำนวนหนึ่งหรือถุงพลาสติกใส่น้ำมาวางแทนที่น้ำในถังเก็บน้ำ ก็ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำสำหรับกดทำความสะอาดลงได้


8. ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิด เพราะจะทำให้สูญเสียน้ำจากชักโครกมากไป เพราะน้ำในชักโครกต้องไล่สิ่งของลงท่อในปริมาณมาก แถมท่อยังอาจตันด้วย


9. ถ้าซักผ้าด้วยมือ ควรรองน้ำใส่กะละมังแค่พอใช้ อย่าเปิดน้ำไหลทิ้งไว้ตลอดเวลาที่ซัก เพราะจะสิ้นเปลืองกว่าการซักโดยวิธีการขังน้ำไว้ในกะละมัง

2551-07-13

ส่งงาน Quiz#1ฐานข้อมูลเบื้องต้น(2)แก้ไข

























รายชื่อผู้ร่วมงาน
492-04-1020 คุณเสาวลักษณ์ หิรัญพฤกษ์
502-04-5016 คุณวิวัฒน์ เจริญพาณิชย์ศิริ
502-04-5018 คุณชฎารัตน์ ดอกจันทร์
502-04-5043 คุณอาจิณ จิรวัฒน์ไพบูลย์
502-04-5045 คุณชัยยะ วิทยาวงศ์รุจิ
502-04-5047 คุณรักชนก จันทร์ทวีพร

2551-07-12

วิธีดูแลสมอง

1.1. พยายามขับถ่ายระหว่างเวลา 05.00 – 07.00 น.
2.2. กินอาหารเช้าระหว่าง 07.00 – 09.00 น. เพื่อให้เลือดรับสารอาหารไปเลี้ยงสมอง
3.3. กินโยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+มะนาว ระหว่างเวลา 13.00 น. – 15.00 น. เพื่อล้างลำไส้เล็กและเปลี่ยนขยะในลำไส้เล็กให้เป็น บี 12 แล้วส่งไปบำรุงสมอง
4. 4. ล้างระบบดูดซึมด้วยสูตรมะละกอดิบต้มชงน้ำชา
5.5.ใช้กระเจี๊ยบแดงแห้งหรือสดต้มกับพุทราจีนแห้งใช้ดื่มน้ำเพื่อล้างไขมันในเลือดเป็นประจำ
6.6.กินน้ำกระชายแล้วดื่มน้ำใบบัวบกตาม จะช่วยบำรุงสมองได้โดยตรง
และผลไม้ชื่อลูกไข่เน่าเป็นผลไม้ที่
บำรุงสมองได้ดีมากหรือคื่นช่าย,เม็ดบัว,ลูกแปะก้วย
7.7.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

1.
1.
2.
8.

2551-07-07

คลอดแล้วจ้า

ชายตั้งครรภ์ชาวสหรัฐให้กำเนิดบุตรแล้ว


โดย กรมประชาสัมพันธ์ วัน ศุกร์ ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 22:07 น.


- นายโทมัส บีทตี้ ชายชาวอเมริกัน วัย 34 ปี ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังออกรายการของพิธีกรชื่อดังโอปราห์ วินฟรีย์ เปิดเผยว่าเขาได้ตั้งครรภ์ และได้ให้กำเนิดบุตรแล้วเป็นเพศหญิงที่โรงพยาบาลในเมืองเบนด์ รัฐโอเรกอน เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นายบีทตี้ ซึ่งเดิมเกิดมาเป็นผู้หญิงและต่อมาได้รับการผ่าตัด แปลงเพศเป็นชาย แต่ไม่ได้ตัดมดลูกออก ได้ให้กำเนิดบุตรสาวด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งมีสุขภาพแข็งแรงดีทั้งคู่ นายบีทตี้ กล่าวหลังให้กำเนิดบุตรว่าสิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจาก คนอื่นๆคือเขาไม่สามารถให้นมบุตรจากนมของเขาเองได้เหมือนมารดาทั่วไป เนื่องจากเขาได้ผ่าตัดเต้านมออกแล้ว.
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...