2551-08-29

ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา


มีงานวิจัยน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างหญิงกับชาย ในรายงานเรื่อง "มหัศจรรย์แห่งสมอง" นิตยสาร "ซีเคร็ต" ฉบับล่าสุด
อิสระพร บวรเกิด ตั้งประเด็นหนึ่งน่าสนใจว่า สงครามย่อยๆ ระหว่างเพศนั้นมีชนวนเหตุมาจากสมองทั้งสองซีกของคุณเอง
พร้อมอ้างถึงงานวิจัยของ ศ.เอเดรียน เฟิร์นแฮม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาจาก "ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ ลอนดอน" อธิบายเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ทำให้ผู้หญิงและผู้ชายต่างกันมากที่สุดคือ วิธีคิด
ผู้ชายส่วนใหญ่ปราดเปรื่องเรื่องมิติสัมพันธ์ หนุ่มๆ จึงเชี่ยวชาญการดูแผนที่ และสามารถฝ่าฝูงชนจากอัฒจันทร์ไปซื้อเครื่องดื่มแล้วกลับมานั่งที่เดิมได้อย่างสบายๆ ขณะที่ฝ่ายหญิงหากเป็นคนลงไปซื้อ รับรองโทร.ตามหากันจ้าละหวั่น เพราะแม่คุณหลง กลับที่นั่งไม่ถูก
ผู้หญิงส่วนมากลึกซึ้งเรื่องอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งเป็นความถนัดหลักของสมองซีกขวา ทำให้พวกเธอสะเทือนใจง่าย ดูหนังเกาหลีเป็นต้องร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ขณะที่ผู้ชายเวลาถูกแทงข้างหลังหรือหักหลัง ก็ยังทนกดฟัน "ลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้" ได้อย่างหน้าตาเฉย
นอกจากนี้ นักจิตวิทยาคลินิก ไมเคิล จี.คอนเนอร์ ยังพบข้อสรุปว่า ผู้หญิงมีปริมาณเส้นประสาทที่เชื่อมระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวามากกว่าผู้ชายถึง 4 เท่านั่นหมายความว่า สมองทั้งสองซีกของผู้หญิงนั้นทำงานสัมพันธ์กันได้ดีกว่าผู้ชาย
ข้อสรุปของคอนเนอร์คงทำให้หลายคนหายสงสัยว่า เหตุใดผู้ชายจึงไม่ชอบให้ใครชวนคุยระหว่างขับรถหรือดูฟุตบอลเกมโปรด แต่ผู้หญิงกลับสามารถคุยโทรศัพท์ และปัดมาสคาราไปด้วยอย่างสบายๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่บ่อยครั้งผู้ชายมักจะพูดโพล่งออกไปตรงๆ โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ คือคิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น
ส่วนผู้หญิงปากกับใจมักไม่ค่อยตรงกัน พูดอย่างหนึ่ง แต่ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจอีกอย่าง เช่น การบอกแฟนหนุ่มว่า "ทำอะไรไม่ถูก" นั้นแท้จริงแล้วเธอกำลังพยายามจะบอกว่า "คุณช่วยมาหาฉันเดี๋ยวนี้ได้ไหม" ต่างหาก

จะเห็นว่า ภาษาที่ทั้งสองฝ่ายใช้นั้น แม้จะเป็นภาษาเดียวกัน แต่กลับมีความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง คำกล่าวของ ดร.จอห์น เกรย์ นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องความแตกต่างระหว่างเพศ ที่ว่า "ผู้ชายมาจากดาวอังคาร ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์"
จึงกลายเป็นประโยคเด็ดเป็นยอมรับกันทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้

2551-08-27

ผู้นำเช่นไร..ได้ใจลูกน้อง


ไม่เพียงแต่ลูกน้องเท่านั้นที่จะต้องเข้าให้ถึงจิตใจของผู้บังคับบัญชา แต่ผู้นำหรือผู้บริหาร หากสามารถเปิดประตูเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ย่อมส่งผลดีต่อการทำงานขององค์กรนั้นเป็นแน่
"สุจินต์ จันทร์นวล" เจ้าของผลงานพ็อกเกตบุ๊กคุณภาพหลายสิบเล่ม อาทิ เขาว่าผมเป็นมืออาชีพ เขาว่าผมใช้เลขาฯ เปลือง ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทหลายแห่ง มีประสบการณ์ในการบริหารทั้งงานบุคคลและธุรกิจมาอย่างโชกโชน ได้แนะนำเคล็ดลับง่ายๆ ที่จะจูนความคิดของ เจ้านาย ลูกน้อง ให้ตรงกัน
ใจเขาใจเรา อกเขาอกเรา
ผู้นำหรือผู้บริหารที่จะอยู่ในหัวใจของลูกน้องได้ ควรยึดมั่นในหลัก "ใจเขาใจเรา ...อกเขาอกเรา" ใช้ใจอย่างเดียวนำทาง แค่นี้ก็สามารถที่จะทำให้ลูกน้องรักและศรัทธาในตัวผู้นำได้อย่างน่าทึ่งตรึงใจ
สุจินต์ ย้ำว่า การบริหารที่จะให้ได้ใจลูกน้องเต็มกระบุง ไม่จำเป็นต้องพึ่งหลักการบริหารหรือทฤษฎีใดๆ หรือตำราวิชาการทั้งหลายทิ้งไปได้เลย ใช้ "ใจ" และ "ความรู้สึก" ก็เป็นอันสำเร็จแล้ว
"สมมติถ้าเราเป็นลูกน้องคนอื่นหากจะทำงานให้เขาแบบถวายชีวิต อย่างแรกเขาต้องทำให้เรายอมรับได้ก่อน หรือสร้างความรู้สึกที่ดีๆ ให้เราเป็นกันเอง ช่วยเหลือเรา เช่น ทางบ้านครอบครัวเป็นยังไงบ้าง พอมีปัญหาก็เข้ามาช่วยเหลือ อย่างนี้เป็นใครก็ทำงานถวายชีวิตให้ เช่นเดียวกัน ถ้าเราไปเป็นนายคนอื่น หากจะให้ลูกน้องศรัทธาในตัวเรา ทำงานให้เราแบบถวายชีวิตบ้าง เราก็ต้องทำให้ลูกน้องซาบซึ้งในตัวเราให้ได้ก่อน นี่คือ อกเขาอกเรา ใจเขาใจเรา ไม่ต้องใช้หลักบริหารหรือทฤษฎีใดๆ อยู่ที่ใจทั้งนั้น ถ้าทำให้เขายอมรับในตัวเราได้ก็สำเร็จ" สุจินต์ อธิบายหนักแน่น
อ่านใจลูกน้องให้ออก
ผู้นำที่ดีต้องมองให้ออกว่า ลูกน้องเป็นคนยังไง ทั้งตัวตน นิสัยใจคอ รวมทั้งศักยภาพของเขาให้ได้มากที่สุด และวิธีที่จะเรียนรู้ลูกน้องนั้น สามารถทำได้ทั้งการพุดคุย การเฝ้าสังเกตพฤติกรรม การแสดงออกต่างๆ รวมทั้งหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา เพื่อประเมินนิสัย ความคิด ทัศนคติ และอื่นๆ ของเขา
"ผมจะคลุกอยู่กับลูกน้องทุกคนเพื่ออ่านใจและเรียนรู้นิสัยของเขา ยิ่งรู้ว่าเขามาจากครอบครัวเช่นไร เรียนจบอะไร เริ่มต้นทำงานที่ไหน เป็นคนทำอะไรได้ดีที่สุด ก็ยิ่งดีมากๆ ซึ่งการรู้อย่างเดียวไม่พอผมต้องเทสต์ด้วย และเมื่อนั้นก็สามารถที่จะใช้เขาทำงาน ซึ่งเขาก็จะทำได้ดี ผมเองก็ได้งานด้วย แต่ถ้าไม่ใกล้ชิดไม่มีทางรู้ ผมจึงต้องเรียนรู้ลูกน้องให้ได้ คนไหนที่ไม่ได้เรื่อง ผมก็รู้ว่าเขาไม่ได้เรื่องเพราะอะไร จากนั้นก็เอาสิ่งที่ผมเรียนรู้นี้ไปแก้ไขให้เขา ไม่เพียงเท่านั้น เวลาที่ผมทำงานยังต้องนั่งอ่านใจนายด้วย ว่านายเป็นคนยังไง ชอบลูกน้องแบบไหน ชอบลูกน้องขี้ประจบหรือชอบทำงาน" สุจินต์ กล่าว นายที่ลูกน้องต้องการ

คนที่เป็นนาย ก็ต้องการลูกน้องดี มีความสามารถ ฉลาด ซื่อสัตย์ ไม่ทุจริตคดโกง มีสัมมาคารวะ คนที่เป็นลูกน้องก็เช่นเดียวกัน ย่อมต้องการนายที่ดี ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตนจนลืมลูกน้อง มีความรัก ความเมตตา ยุติธรรม พูดจาดี ไม่ชอบดูหมิ่นดูแคลน และมีน้ำใจต่อลูกน้อง
สุจินต์ เล่าว่า การที่จะเป็นผู้นำที่ดีและเป็นผู้นำในฝันของใครนั้น ง่ายนิดเดียว เพียงคิดและมองในมุมกลับและทำให้ได้ คือถ้าเรามีนายหรืออยู่ในสถานะเป็นลูกน้องเขา ถามว่าเราอยากได้นายแบบไหน นายในฝันของเราเป็นอย่างนี้ๆ แล้วเขียนลงในกระดาษ เช่น ต้องเป็นผู้ที่ทำให้เรายอมรับได้ มีเมตตา ยุติธรรม มีบุคลิกเป็นผู้นำ รับฟังลูกน้อง สนับสนุน เป็นต้น

เวลาที่ลูกน้องทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา หัวหน้าต้องไม่ด่วนสรุปตัดสินว่าเขาผิดหรือกล่าวโทษ หรือด่าว่าโดยทันที แต่ต้องมาพิจารณาหาสาเหตุว่าที่ผิดพลาดนั้นเพราะอะไร ผิดพลาดตรงไหน และหาวิธีแก้ไข เพราะลูกน้องเมื่อรู้ว่าตนทำงานผิดพลาด ใจก็หวาดหวั่นครั่นคร้ามว่านายจะเล่นงานอยู่แล้ว
ถ้าลูกน้องผิดพลาดในเรื่องมหันต์ ก็ต้องพิจารณาหาสาเหตุว่าผิดเรื่องเดิมหรือเปล่า หรือผิดเพราะหลงผิด หรือผิดเพราะทำผิดจริงๆ หรือผิดเพราะไม่รู้ถึงได้ทำผิด แต่ถ้าผิดในเรื่องทุจริตหรือคดโกงบริษัท ลูกค้า อันนั้นก็ต้องมีมาตรการลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งเพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ยอมไม่ได้
สุจินต์ กล่าวว่า การที่ลูกน้องทำงานผิดพลาดขึ้นมา ผู้นำจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษผู้นำหรือผู้บริหารที่ไม่ได้ทำการฝึกสอนเขาให้ดี การที่จะทำให้ลูกน้องเกิดความประทับใจ ผู้เป็นนายสามารถทำได้ในสถานการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม และควรฉวยโอกาสทำทันทีไม่รอช้า เพราะถ้าช้าไปก็อาจไม่มีโอกาสดีๆ เช่นนั้นอีก
เพียงแค่ใช้ "ใจ" มองอีกฝ่ายแค่นี้ "ผู้นำ" ก็ได้ใจลูกน้องไปเต็มๆ

2551-08-18

ปรับเปลี่ยนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น ลองดูนะ

เชื่่อว่าทุกวันนี้หนุ่มสาววัยทำงานหลายคน ต้องทำงานกันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับว่า วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ก็ยังไม่ค่อยพอ แถมเหนื่อยก็เหนื่อย บางคนกลายเป็นมนุษย์บ้างาน ไม่มีเวลาให้ตัวเองเลย ยิ่งครอบครัวไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น เรามาร่วมเรียนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้เราขี้เกียจกันได้! แต่ยังได้ผลงานที่เหมือนเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิมกันดีกว่า!!! กับเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเติมพลังให้กับการทำงานในแต่ละวัน อันนี้ไม่ได้โม้นะ เพราะคุณอภิชาติ สิริผาติ ผู้เขียนพ็อกเกตบุ๊ก เรื่อง "เงินเดือนนิดเดียว ต้องเหนื่อยให้น้อยที่สุด" แนะนำวิธีเปลี่ยนตัวเองอย่างง่ายได้ไว้ได้อย่างน่าสนใจดังนี้ค่ะ
ทบทวนตัวเอง วันละ 10 นาท
หลังเลิกงานทุกวัน หาเวลาสัก 10 นาที ลองทบทวนสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวคุณเอง ตั้งแต่เช้าถึงเย็นแล้ว วิเคราะห์ดูว่า มีงานหรือวิธีการทำงานใดที่ทำไปในวันนี้ แล้วมีวิธีทำให้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น เหนื่อยน้อยลงหรือเปล่า? แล้วค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูค่ะ
ทบทวนตัวเอง สัปดาห์ละ 30 นาที
ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน ลองทบทวนดูว่า เวลาของตัวเองที่เกี่ยวกับการทำงานหมดไปกับเรื่องอะไรบ้าง การประชุม โทรศัพท์ งานเอกสาร การอิจฉาคิดร้ายคนอื่น หรืออื่นๆ และดูว่าสิ่งนั้นทำให้เกิดผลผลิตหรือเปล่า ทำอย่างไรให้เหนื่อยน้อยลง แต่ได้งานเหมือนเดิมหรือมากขึ้น กิจกรรมใดควรตัดออกไปบ้าง
เลิกเคยชินซะบ้าง
อย่าชินกับสิ่งที่ทำกันอยู่ทุกวัน มองหาวิธีที่ง่ายกว่า ประหยัดกว่า หรือเหนื่อยน้อยกว่า เพราะพวกเรามักใช้ชีวิตกันตามความเคยชินเป็นหลัก จนหลายสิ่งที่เราทำกลายเป็นสัญชาตญาณ และไม่เคยนึกหรือถามตัวเองว่ามีวิธีที่ดีหรือเหนื่อยน้อยกว่านั้นหรือไม่ เช่น หลายคนยังชินกับการรับส่งเอกสารทางแฟกซ์ ซึ่งสามารถทดแทนได้โดยใช้อีเมล
ทำตัวให้มีเสน่ห์
ความมีเสน่ห์จะช่วยให้การทำงานราบรื่นขึ้น แล้วก็เหนื่อยน้อยลงด้วย คนที่มีเสน่ห์มักมีคนให้ความร่วมมือในการทำงานมากขึ้น ถ้าใครคิดว่าตัวเองยังไม่มีเสน่ห์ล่ะก้อ ลองหัดดูค่ะ เติมเสน่ห์ให้ตัวเองสักนิด อาจเริ่มต้นง่ายๆ เช่น พูดจาดี ยิ้มเก่ง รู้จักชมผู้อื่น (มีกฎว่าวันหนึ่งคุณควรชม (อย่างจริงใจนะ) เพื่อนร่วมงานอย่างน้อยสัก 3 คน) เป็นต้น
ไม่เห็นด้วย ต้องพูดดังๆ
หลายคนเหนื่อยฟรี! เพราะต้องทำงาน 2-3 รอบ โดยเฉพาะเมื่อทำงานกับคนที่มีตำแหน่งใหญ่กว่า เนื่องจากการไม่กล้าแสดงความคิดเห็นหรือโต้แย้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่างานนั้นควรทำอย่างไร ฉะนั้น หากไม่เห็นด้วย มีความเห็นอย่างไรควรพูดออกไป ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้คนอื่นมองเห็นหลายๆ ด้าน ถึงแม้จะเปลี่ยนคำสั่งไม่ได้ แต่อย่างน้อยเราจะได้แสดงความสามารถของเรา และไม่โดนตำหนิภายหลังว่า รู้แล้วทำไมไม่พูด
ลำดับความสำคัญ
การรู้ว่าควรต้องทำงานไหนก่อน งานไหนทำทีหลัง ทำให้เหนื่อยน้อยลงได้มาก เพราะการไม่ทำงานสำคัญก่อนและต้องมาเร่งทำแข่งกับเวลาจะเป็นสิ่งที่สร้างความเครียด ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กลัวเสร็จไม่ทัน และอาจต้องอยู่ทำงานดึกได้
ทำอะไร ทำให้เสร็จ
การทำงานอย่างละนิดละหน่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยน
จะทำให้ไม่มีความต่อเนื่องลืมบางสิ่งบางอย่างและอาจรู้สึกเบื่อได้ เพราะจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง และมักทำให้ต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม งานไม่มีประสิทธิภาพ ฉะนั้น
หากเริ่มงานสิ่งใดพยายามทำให้เสร็จไปเป็นอย่าง ๆ ตั้งเป้าประจำวัน และทำให้เสร็จ
พยายามตั้งเป้าให้ตัวเองทุกวันว่า วันนี้เรามีงานอะไรจะทำให้เสร็จบ้าง โดยจดเป็นเช็กลิสต์ไว้และอาจผสมงานยากงานง่าย งานที่สามารถทำให้เสร็จได้ในวันเดียวไว้ด้วยกัน และมุ่งมั่นทำให้ได้ตามนั้น การที่สามารถทำอะไรให้เสร็จได้ทุกวัน จะทำให้รู้สึกมีความคืบหน้าทุกวันและความเหนื่อยน้อยลง
ไม่พูดแบบนักการเมือง
ความหมายนี้ก็คือ พยายามฝึกพูดให้สั้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย มีการสรุปสาระสำคัญความต้องการ โดยสามารถสื่อให้คนฟังเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าต้องทำอะไร เราคาดหวังอะไร ต้องรู้จักสรุปความคิดของตัวเองให้ชัดเจน ตกผลึกก่อนที่จะถ่ายทอดให้คนอื่น เพราะถ้าตัวเองยังไม่ชัดเจน ย่อมถ่ายทอดความไม่ชัดเจนออกไปด้วยเช่นกัน
ลองใส่ "วันใหม่ๆ" ลงไปในปฏิทินของคุณ
ข้อสุดท้ายของการลอง "ปรับ-เปลี่ยนแปลงตัวเอง"
แนะนำให้ใช้วิธีเขียนวันใหม่ๆ โดยใช้ปากกาเน้นแถบสีสดๆ ใส่ลงไปในปฏิทิน เช่น "วันเก็บโต๊ะทำงาน" วันพฤหัสบดีและวันศุกร์ "วันเคลียร์ไฟล์ในคอมพิวเตอร์" สำหรับวันอังคารและวันพุธ "วันทบทวนระบบทำงาน" ในวันจันทร์และวันอังคารของสัปดาห์ต่อไป ส่วนวันศุกร์กันไว้ให้เป็น "วันเคลียร์เอกสารที่ไม่ใช้" สัปดาห์ต่อไปอาจไม่มีวันใหม่ๆ แต่ก็อย่าลืม!!! "วันทบทวนตัวเอง" ไว้สักวันในอาทิตย์ก่อนที่เดือนนี้จะสิ้นสุดลง

ก่อนที่โอลิมปิกจะปิดฉากลง มีอะไรดี ๆส่งท้าย

ประวัติโอลิมปิก

ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา "โอลิมปัส" ในประเทศกรีก โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขันเพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชายห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้นสถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป จึงทำให้ไม่เพียงพอที่จุ ทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ www.abc.321.cn

ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาลชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันกันที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าเข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจึงจัดอย่างมีระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่มีการแข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้มีกีฬาอยู่ 5 ประเภท คือ การวิ่ง
กระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลนและขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอก ซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐในฐานะตัวแทนของพระเจ้า และการแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิสที่เดิมเป็นประจำทุกๆ สี่ปี และถือปฏิบัติต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่จะต้องหยุด
พักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้วจึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรกๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวจัดแข่งขันกันในครั้งแรก ก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า "เพ็นตาธรอน" หรือ "ปัญจกรีฑา" ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนตามยุคและกาลสมัย



การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี ค.ศ. 393 จักรพรรดิธีโอดอซิดุช แห่งโรมัน ได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นแสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิมคือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรล ซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันที่เป็นประเพณีอันดีงามนี้ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้นบริเวณ ณ ที่แห่งเดียวเชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่นั้นว่า "การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก"

หลังจากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ "บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง" ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงบารีสเมื่อ 1 มกราคม 2406 สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคมในปี พ.ศ. 2432 ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศสเป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอันไม่เป็นทางการขึ้นที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 และประกาศ ณ ที่นั้นว่าการแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้ฟื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้นได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส คณะกรรมการผู้ริเริ่มได้ลงมติว่ามิให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้งและให้หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเป็นเจ้าภาพระหว่างประเทศเครือสมาชิก แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ใน ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมาการแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุกๆ ครั้งให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง

การที่จะกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป ณ สถานที่ที่ทำการแข่งขันครั้งสุดท้ายดำเนินอยู่นั้นเองคณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะเข้าประชุมพิจารณา
ในบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัดและมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบเป็นทางการในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งสุดท้ายนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อปวงชนทั้งประเทศ

ในปัจจุบันประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกของโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพราะเป็นประเทศเล็กขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬาท่านบารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ไม่ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครองแต่อย่างใดความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่างๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ "การเข้าร่วม"

รางวัลของการแข่งขัน ในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ "กิ่งไม้มะกอก"ซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของพระเจ้าซีอูซ แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎจักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศรีษะของผู้ชนะนั้นๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่งรางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญบรอนซ์ ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนที่สี่ไปถึงอันดับที่ 6 จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขันโคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟขึ้นสว่างไสว ในสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าจึงจุไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อเป็นสัญญาณ

ประกาศให้คนทั่วไปทราบว่าการเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว การจุดไฟเริ่มแรกนั้นเขาทำพิธีกันบนยอดเขาโอลิมปัส ใช้แว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์พุ่งไปยังเชื้อเพลิงเมื่อเกิดไฟแล้วจึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ส่วนไฟกองใหญ่
จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์หากผ่านทะเล หรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้โอลิมปิก ปัจจุบันก็ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือสาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของพิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกระทั่งกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้นๆ

ธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วงแถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วง หมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ "โอลิมปิกนิยม" มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลก อย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่างๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปนอกจากหกสีนี้

ข้อมูลจาก : การกีฬาแห่งประเทศไทย

2551-08-11

เคยรู้อะไรแบบนี้รึเปล่้า


ประวัติวันแม่ และความหมายของดอกมะลิ


ประวัติวันแม่ และความหมายของดอกมะลิ

แม่...คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้” พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รัก” ให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพและเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่”

ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ. 2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้านหรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว


สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุนซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทยเห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...


สุดท้าย ไม่ว่าจะเป็นวันไหน ๆ เราก็ควรจะแสดงออกซึ่งความรักที่มีต่อแม่จะดีกว่านะค่ะ

เปิดกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 29 แล้ว ยังมีสิ่งอัศจรรย์อีก ลองดูซิ

10 สถาปัตย์อัศจรรย์แดนมังกร



1. สนามบินนานาชาติปักกิ่ง
กำหนดสร้างเสร็จปี 2007
จีนมีแผนที่จะสร้างสนามบินใหม่ถึง 108 แห่งระหว่างปี 2004-2009 ซึ่งรวมทั้งสนามบินนานาชาติปักกิ่งแห่งนี้ ที่จะเปิดให้บริการปลายปี 2007 เพื่อต้อนรับโอลิมปิก 2008 โดยจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 43 ล้านคนในปีแรก และเพิ่มเป็น 55 ล้านคนในปี 2015
สนามบินโฉมใหม่ที่มีขนาดกว่า 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเพนตากอนของสหรัฐอเมริกานี้ เป็นฝีมือของผู้ออกแบบสนามบินเช็กแลพก๊อกของฮ่องกงด้วย นั่นคือ Foster & Partners สถาปนิกนักเดินทาง ที่เข้าถึงจิตใจผู้โดยสาร ด้วยการออกแบบทางเดินแต่ละส่วนให้สั้นที่สุด
ฟอสเตอร์ ได้แบ่งอาคารที่กว้างขว้างใหญ่โตของสนามบินนานาชาติปักกิ่งออกเป็น 2 ข้าง ทอดตัวจากทิศใต้ไปสู่ทิศตะวันออก เพื่อช่วยลดไอร้อนจากแสงอาทิตย์ แต่ติดสกายไลท์ให้แสงแดดละมุนละไมได้ฉายส่องเข้ามา พร้อมทั้งใช้นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนภายในตัวอาคาร



2. เดอะคอมมูน – กรุงปักกิ่ง
เฟสแรกสร้างเสร็จเมื่อ 2002 และทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นในปี 2010
เดอะคอมมูน (The Commune) เกิดขึ้นตามความตั้งใจของคู่รักนักพัฒนาเรียลเอสเตท จางซิน และพานซื่ออี๋ ที่ลงทุนควักกระเป๋าให้นักสถาปัตย์ชั้นนำชาวเอเชีย 12 คน คนละ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเนรมิตเฮาส์คอมเพล็กซ์หรูที่มีกลิ่นอายกำแพงเมืองจีนขึ้น
ปัจจุบัน เดอะคอมมูน เปิดให้บริการแล้วในส่วนที่เป็นโฮเทลบูติค ภายใต้การบริหารของเครือโรงแรมเคมปินสกี้ จากเยอรมนี ซึ่งยังมีโครงการส่วนต่อขยายเพิ่มเติมอีก



3. ศูนย์กลางการเงินของโลกที่เซี่ยงไฮ้
กำหนดสร้างเสร็จปี 2008
ศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของโลก กำลังจะอุบัติขึ้นที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ที่เขตการเงินหลู่เจียจุ้ย ในเขตผู่ตง ในรูปโฉมของตึกกระจกสูงเสียดฟ้า 101 ชั้น
Kohn Pedersen Fox Architects ผู้ออกแบบเล่าว่า การสร้างให้ตึกต้านทานแรงลมได้ ถือเป็นความท้าทายของงานนี้ ในที่สุด จึงได้ออกแบบให้ยอดตึกเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมเจาะช่องตรงชั้นที่ 100 ซึ่งนอกจากจะปรับเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลกแล้ว ยังสามารถบรรเทาแรงลม ลดการแกว่งตัวไปมาของตัวตึกได้ด้วย



4. สระว่ายน้ำแห่งชาติ – ปักกิ่ง
กำหนดเสร็จปี 2008
สระว่ายน้ำแห่งชาตินี้ สร้างขึ้นสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 โดยมีรูปลักษณ์เหนือจินตนาการคล้าย "ก้อนน้ำสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ " ซึ่ง PTW and Ove Arup ออกแบบโดยใช้วัสดุเทฟลอนทำเป็นโครงร่าง เน้นใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยจะนำมาใช้เดินเครื่องกรองน้ำเสียของสระ
น้ำที่ใช้เติมในสระจะถูกกักเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ฝั่งไว้ใต้ดิน นอกจากนั้น เพื่อให้ดูเหมือนน้ำที่สุด สถาปนิกยังใช้เทคโนโลยีจากงานวิจัยของนักฟิสิกส์จาก Dublin's Trinity College ที่สามารถทำให้กำแพงอาคารดูเหมือนฟองน้ำที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะทำสระว่ายน้ำแห่งแดนมังกรนี้ดูดีเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังสามารถต้านทานกับแรงสั่นสะเทือนอันเกิดจากแผ่นดินไหวได้ด้วย





5. สถานีโทรทัศน์ส่วนกลางแห่งชาติ (CCTV) – ปักกิ่ง
กำหนดสร้างเสร็จปี 2008
อาคารสำนักงานใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี มีรูปลักษณ์ที่แหวกแนวไปจากตึกระฟ้าทั่วไป โดยเกิดจากสองอาคารที่ตั้งมุมฉากต่อเข้าหากัน มองดูเหมือนอุโมงค์ขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยกระจายแรงลมที่ปะทะกับตึกได้เป็นอย่างดี ตึกใหม่นี้ออกแบบโดย Rem Koolhass และ Ole Scheeren ส่วนวิศวกรผู้คุมงานก่อสร้างคือ Ove Arup



6. Linked Hybid – ปักกิ่ง
กำหนดสร้างเสร็จปี 2008
สถาปัตยกรรมแห่งที่อยู่อาศัยสมัยใหม่ Linked Hybid เป็นที่ตั้งของบ้าน 2,500 หลัง อพาร์ทเม้นท์ 700 ห้อง บนเนื้อที่ขนาด 1.6 ล้านตารางฟุต ถือเป็นตึกใหญ่สุดในโลกที่มีใช้ระบบชีวภาพในการทำความเย็นและให้ความอุ่น เพื่อรักษาอากาศทั้ง 8 ตึกให้คงที่ ในชั้นที่ 20 สร้างเป็นวงแหวน ' บริการ' ที่เชื่อมต่อกันทุกตึก ครบครันด้วยบริการต่างๆ ทั้งซักผ้ายันร้านกาแฟ
Steven Holl และ Li Hu ยังออกแบบให้ ฝั่งท่อน้ำสองสายลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตร สำหรับให้น้ำไหลเวียน ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องกระจายความร้อน และเครื่องทำความเย็นขนาดใหญ่ ที่ไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้าทำน้ำเดือดหรือแอร์ทำความเย็น ขณะเดียวกัน ยังมีระบบบำบัดน้ำเสีย ที่จะรวบรวมน้ำจากห้องครัวและอ่างน้ำทั่วอาคาร มาหมุนเวียนใช้ใหม่ในห้องส้วม



7. เมืองเศรษฐกิจตงถัน – เจียงซู
อยู่ระหว่างวางแผน คาดว่าเฟสแรกจะเสร็จปี 2010
เมืองเศรษฐกิจแห่งใหม่ของแดนมังกร ออกแบบและพัฒนาโดย ซ่างไห่ อินตัสเทรียล คอร์ป ที่คาดว่าจะมีขนาดเทียบเท่ากับเกาแมนฮัตตัน ตั้งอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของจีน กลางลำน้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ใกล้กับมหานครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2040
อย่างไรก็ตาม เฟสแรกของโครงการนี้ จะเรียบร้อยก่อนที่งานเอ็กซ์โปเซี่ยงไฮ้จะเปิดฉากขึ้นในปี 2010 ซึ่งจะมีประชากรราว 50,000 คน เข้าอยู่อาศัยที่นี้ จากนั้นอีก 5 ปี ระบบพิเศษต่างๆ จะเริ่มใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ ระบบจัดการน้ำเสีย และการหมุนเวียนพลังงานมาใช้ใหม่ พร้อมด้วยถนนสายใหญ่ที่จะเชื่อตรงสู่นครเซี่ยงไฮ้อย่างสะดวกสบาย



8. สนามกีฬาโอลิมปิก - ปักกิ่ง
กำหนดเสร็จปี 2008
สนามกีฬาหลายแห่งในโลก ออกแบบโดยเดินตามรอยสนามกีฬาชื่อดังของโลก โคลิเซี่ยมแห่งโรม แต่สนามกีฬานานาชาติของ Herzog & de Meuron ในปักกิ่งนี้พยายามที่จะคิดออกแบบใหม่ให้เอื้ออำนวยต่อสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมากขึ้น
สถาปนิกจากสวิสเซอร์แลนด์ Herzog & de Meuron ต้องการที่จะช่องระบายอากาศตามธรรมชาติ ในสนามกีฬาโครงสร้าง 91,000 ที่นั่ง อาจถือได้ว่า เป็นสนามกีฬาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดในขณะนี้
สนามกีฬาดังกล่าวซึ่งจะใช้จัดพิธีเปิด-ปิดการแข่งขันโอลิมปิก 2008 มีลักษณะภายนอกคล้ายกับ "รังนก" ที่มีโครงตาข่ายเหล็กสีเทาๆเหมือนกิ่งไม้ ห่อหุ้มเพดานและผนังอาคารที่ทำด้วยวัสดุโปร่งใส อัฒจันทร์มีลักษณะรูปทรงชามสีแดง ซึ่งดูคล้ายกับพระราชวังต้องห้ามของจีน ภาพโครงสร้างของสนามกีฬาแห่งนี้ จึงดูคล้ายพระราชวังสีแดง ที่อยู่ภายในรั้วกำแพงสีเทาเขียว ซึ่งให้กลิ่นอายงดงามแบบตะวันออก สำหรับบันไดภายในสนามกีฬาถูกสร้างให้กลมกลืนกับโครงตาข่าย ซึ่งให้ภาพลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือเอกภาพ



9. สะพานตงไห่ – เชื่อมเซี่ยงไฮ้ กับ เกาะหยังซัน
เปิดใช้ธันวาคม 2005
สะพานข้ามทะเลแห่งแรกของจีน ซึ่งเปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2005 สะพานดังกล่าวเป็นเส้นทางคมนาคมหลักในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซีเกียง ใช้เงินลงทุนราว 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนโครงสร้างหลักมีความยาว 32.5 กิโลเมตร กว้าง 31.5 เมตร มีทางรถวิ่ง 6 เลน และเพื่อความปลอดภัยในการรับมือกับพายุไต้ฝุ่นและคลื่นลมแรง สะพานตงไห่ถูกออกแบบให้เป็นรูปตัวเอส (S) เชื่อมจากอ่าวหลู่หูในเขตหนันฮุ่ยเมืองเซี่ยงไฮ้ ข้ามอ่าวหังโจว ไปยังเกาะเสี่ยวหยังซันในมณฑลเจ้อเจียง ที่ได้วางแผนไว้ให้เป็นท่าเรือการค้าเสรีแห่งแรกของจีน (และจะเป็นท่าคอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2010
ทั้งนี้ สะพานตงไห่ถูกก่อสร้างโดยความร่วมมือระหว่าง ไชน่าจงเที่ย เมเจอร์ บริดจ์ เอนจิเนียริ่ง กรุ๊ป และเซี่ยงไฮ้ # 2 เอนจิเนียริ่ง และเซี่ยงไฮ้ เออร์บัน คอนสตรักชั่น กรุ๊ป



10. โรงละครแห่งชาติ – ปักกิ่ง
กำหนดสร้างเสร็จปี 2008
ตั้งอยู่กลางกรุงปักกิ่ง ใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมิน มีเนื้อที่ 490,485 ตารางฟุต มีกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการในปี 2008 โครงสร้างภายนอกประกอบขึ้นจากกระจกผสมไทเทเนี่ยม ดูคล้ายกับทะเลสาบ ซึ่งผู้ออกแบบจงใจให้สถาปัตยกรรมดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางถนนและตึกรามแบบโบราณ
สำหรับผู้ออกแบบคือสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อดัง พอล อังโดร ที่มีผลงานออกแบบที่มีชื่อเสียง เช่น อาคาร 1 ของสนามบินชารลส์ เดอ โกล
โรงละครแห่งชาติ แห่งนี้แบ่งพื้นที่เป็น ในโรงโอเปร่า 2,416 ที่นั่ง คอนเสิร์ตฮอล 2,017 ที่นั่ง และโรงภาพยนตร์ 1,040 ที่นั่ง พื้นผิวของผนังที่กึ่งโปร่งแสงจะทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาในตอนกลางคืนจะมองเห็นการแสดงด้านในวับๆ แวบๆ ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมแห่งนี้.

2551-08-03

ภาพแรกลูกสาวของ"ผู้ชายท้อง"เผยสุดปลื้ม แถมท้องก็ไม่ลาย


"โทมัส บีทตี" อดีตนางงามที่แปลงเพศเป็นชายแต่เก็บอวัยวะสืบพันธุ์หญิงเอาไว้ ที่คลอดลูกสาวสมใจอย่างเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ออกมาเปิดใจครั้งแรกถึงประสบการณ์การเป็นแม่คน โดยย้ำว่าจะเลี้ยงเด็กที่เกิดมาให้ดีที่สุด

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา ซูซาน จูเลียต ลูกสาวที่เกิดจากวิธีการผสมเทียมของอสุจิผู้บริจาคและ โทมัส บีทตี อดีตหญิงสาวที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นผู้ชายอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลกอย่างปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติ

หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ ครอบครัวใหม่ที่ประกอบไปด้วย คุณแม่แนนซี วัย 45 และคุณพ่อโทมัสวัย 34 ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงประสบการณ์การมีลูกแบบสนั่นโลกครั้งนี้ เช่นเดียวกับลูกสาวซูซานที่ได้ออกมาอวดโฉมต่อชาวโลกเป็นครั้งแรก

"มันเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำไปชั่วชีวิต" โทมัสเผยถึงความพยายามนับ 40 ชั่วโมงในการเบ่งท้องครั้งแรกในชีวิตครั้งนี้

"มันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์และสวยงาม และเป็นเหตุการณ์ที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำชั่วชีวิต ทุกๆ คนคิดว่าผมไปผ่าท้องมา แต่ผมรู้ดีว่าผมอยากจะคลอดตามธรรมชาติมาโดยตลอด และผมก็เป็นคงเบ่งเองนี่แหล่ะ"

"ตอนที่เธอค่อยๆ จะออกมามันเหมือนภาพสโลว์โมชั่น นางพยาบาลผดุงครรภ์บอกผมว่าซูซานมีผมสีเข้มเหมือนของผมเลย ซึ่งเป็นตอนที่ผมได้ยินเสียงร้องเธอเป็นครั้งแรก แต่ผมอยากจะเห็นหน้าของเธอเองด้วยตาของผมเองมากกว่า จนกระทั้งเธอออกมาทั้งตัว ในตาผมก็เต็มไปด้วยน้ำตา เธอช่างเป็นสิ่งที่สวยงามและสมบูรณ์แบบในทุกๆ อย่าง ผมเต็มไปด้วยความตื้นตันแห่งรักและความมหัศจรรย์ ผมไม่สามารถอดใจไม่จ้องมองเธอได้ ทุกวันนี้ก็ยังทำไม่ได้"

"เธอเป็นเด็กเลี้ยงง่าย, น่าเอ็นดู และเฉลียวฉลาด แค่ได้กอดเธอเป็นความสุขที่หาไม่ได้ที่ไหนในโลกนี้" โทมัสพูดถึงลูกสาวซูซาน ที่ตั้งชื่อตามผู้เป็นแม่ของเขาเอง

ซึ่งทั้งตัวลูกสาวและพ่อผู้ให้กำเนิดต่างมีสุขภาพที่ดีมากๆ "ผมน้ำหนักลดลง 2 ปอนด์กว่าตอนที่ตั้งท้องซะด้วยซ้ำ แถมไม่มีรอยแตกลายตรงหน้าท้องซักแห่งเดียว"

ขณะที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายเป็นกังวลว่าโทมัสที่เฉือนนมทั้งสองเต้าระหว่างกระบวนการแปลงเพศไปเมื่อหลายปีก่อน จะไม่สามารถให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ทารกอย่างน้ำนมแม่ได้ ซึ่งทุกอย่างก็คลี่คลาย เมื่อแนนซีภรรยาของเขาที่เคยมีลูกมาแล้ว 2 คนกับอดีตสามีเก่าเมื่อหลายปีก่อน ใช้วิธีกินฮอร์โมนและการกระตุ้นโดยการดูดนมของลูกสาวในการกลับมาสามารถผลิตน้ำนมได้อีกครั้งหนึ่ง

"คนส่วนใหญ่เดากันว่าลูกของเราจะไม่มีนมแม่กิน ผมอยากประกาศด้วยความภูมิใจว่าเธอได้รับตรงนี้เต็มที่ แนนซีให้นมลูกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง ส่วนหน้าที่ผมจะทำทุกอย่างยกเว้นให้นมเธอ"

โทมัสที่โด่งดังไปทั่วโลกจากการตัดสินใจตั้งท้องครั้งนี้ เคยเปิดใจถึงเรื่องอนาคตว่า "เรามองครอบครัวของเราว่าเป็นแบบอนุรักษ์นิยม อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูก แนนซีและผมให้ราคาอย่างสูงกับคุณค่าของครอบครัว ผมจะเลี้ยงเธอให้มีความซื่อสัตย์, เห็นอกเห็นใจ และเห็นคุณค่าในตัวของคนทุกๆ คน"

"เหมือนกับพ่อป้ายแดงทุกๆ คน ผมมองไปถึงการเป็นส่วนสำคัญในชีวิตลูกสาวผม ผมแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นเธอและแม่อบเค้กและคุ๊กกี้ด้วยกันประสาแม่ๆ ลูกๆ เต็มทีแล้ว"
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...